PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

21> ดู Buffalo ควายเมืองเชียงตุงรัฐฉานพม่าโน่น...


Buffalo...ควายหรือกระบือ

"ควาย" เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่มีความผูกพันกับมนุษย์มาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จากหลักฐานภาพเขียนก่อนยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์โบราณ ปรากฏภาพควาย ภาพปลา สัตว์ป่าบางชนิด เขียนอยู่ตามถ้ำต่างๆ

เดิมควายคงเป็นสัตว์ป่า เหมือนสัตว์ป่าทั่วไป แต่โดยสัญชาติญาณที่เป็นสัตว์ที่สามารถฝึกฝนทำให้เชื่องได้ มนุษย์จึงนำมาเลี้ยง ฝึกฝน จนเชื่องและนำมาใช้แรงงาน เป็นประโยชน์ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรักความผูกพัน ระหว่างมนุษย์กับควาย

"ควาย" มีการเรียกแตกต่างกันไปแต่ละชาติแต่ละภาษา เช่น ภาษาจีนเรียกว่า "สุ่ยหนิว" (Sui Nui) ภาษาฟิลิปปินส์ เรียกว่า "คาราบาว" (Carabao) และภาษาไทยเรียกว่า "ควาย" (Khway) ภาษามาเลย์เรียกว่า "เกรเบา" (Krabao) เป็นต้น

ต่อมา โลกเจริญก้าวหน้า มีวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ๆ สังคมเปลี่ยนแปลง จากที่เคยใช้ควายไถนา คราดนา ลากเกวียน นวดข้าว เปลี่ยนเป็น เครื่องจักร เครื่องนวดข้าว บทบาทของควายภาคเกษตรหมดลงโดยสิ้นเชิง "น่าใจหาย"

บทบาทใหม่ของควายล่ะ คืออะไร...จากสัตว์ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยเหลืองานทุกครัวเรือนเอาใจใส่ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี สุมไฟให้เพื่อป้องกันยุง หาหญ้า หาน้ำ เพื่อเลี้ยงดู อยู่กินอย่างเป็นเพื่อน ไม่น่าเลยคนใจร้ายทำได้ "เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ กินเสียได้" เฮ้อ...

เชิญดูภาพอย่างจุใจ...

คลิกที่นี่...ควายเชียงตุง
คลิกที่นี่...โรงเรียนควาย


20> ทำเว็บเผยแพร่ให้คนอื่นดู/ส่วนตัว ก็ย่อมได้!!!



ได้ยินเขาพูดๆกัน "เพราะเราเป็นรัฐอิสระมาก่อน"
Republic of Isan Lanna
ชื่อก็ไพเราะเสนาะหูคล้องจองดีด้วย
ต๊กกะใจตื่น...เอ๊ะ! เราฝันไปรึนี่...

*

ทำเว็บบล็อกเผยแพร่ให้คนอื่นดู หรือทำไว้ดูส่วนตัว ก็ย่อมได้!!!

การทำบล็อกเป็นวิธีการที่จะเผยแพร่ข่าวสารไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องกลัวโดนปิดกั้น หากมาปิดบล็อกเราก็สร้างบล็อกใหม่ไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะครับ

*แต่ขอย้ำอย่าใช้บล็อกของประเทศไทย เพราะ ไอซีที มันได้ห้ามเจ้าของคนไทยไว้แล้ว*

ใช้บล็อกอันนี้ คลิกที่นี่...

แล้วทำตามที่เว็บแนะนำ...

เมื่อได้บล็อกมาแล้ว...ไม่รอช้าเริ่มบรรเลงเลยครับ

ดูบล็อกตัวอย่าง http://eye009.blogspot.com/

วิธีใส่ Code หรือใส่ Embed ของ YouTube
คลิกที่ บทความใหม่ ตรงมุมบนขวา
คลิกที่ การออกแบบ
คลิกช่อง เพิ่ม Gadget
คลิก + ช่อง HTML/จาวาสคริปต์
(แล้วคลิกที่ แก้ไข)
วาง Code คลิก บันทึก
เป็นอันใช้ได้ครับ

*

วิธีการสมัคร email ง่ายมากๆ คลิกที่ลิ้งค์ด้านล่าง จากนั้นก็กรอกข้อมูลต่างๆ ในช่องที่เขากำหนด ก็เท่านั้นเอง...

สมัคร gmail คลิกที่นี่...

ถ้าจะเข้าโครงการ ปิดสิบ-เปิดแสน ก็นี่เลย ของ ตาย่าน008 เค้า สอนการสร้างเว็บไซต์และเว็บบอร์ดแบบง่ายๆและทำได้แบบครอบจักรวาลทุกยี่ห้อ ทุกชนิด http://www.tayan008.com/webboard/viewforum.php?f=15

เชิญสมัครเข้าเรียนได้เลยครับ ฟรี!...ฟรี!...ไม่เสียกะตังค์แต่ได้ความรู้เพียบ!...

เหอ...เหอ...

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

19> "จงรักคนที่ไม่รักคุณ...แล้วสักวันนึงเค้า..."



จากคุณ Thanawut...

ผมเคยโกรธ เกลียดคนอื่น ขนาดที่ไม่คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะสามารถให้อภัยเขาได้

ผมรู้ดีว่า ขณะที่ใจตัวเองถูกครอบงำด้วยความเกลียดชังนั้นมันทรมานแค่ไหน

เชื่อเถอะครับ ถ้าได้ลองสักครั้งแล้วจะรู้ว่าการรักคนอื่นนั้น มันง่ายกว่าการเกลียดคนอื่นเยอะเลย

การมอบความรักให้ผู้อื่นนั้น นอกจากจะทำให้ตัวเองมีความสุขแล้วยังทำให้คนรอบข้างมีความสุขอีกด้วย

"จงรักคนที่ไม่รักคุณ...แล้วสักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ"

*

จากคุณ LB1...

"จงรักคนที่ไม่รักคุณ...แล้วสักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ"

ถ้าตอนที่เขาเปลี่ยนใจมารัก เป็นตอนที่เขาแต่งงานมีสามีไปแล้ว มันจะมีความหมายอะไรกับการ "เปลี่ยนใจมารักคุณ" ?

หรือ...ถ้าเกิดสภาพข้างต้นจริงๆ ก็ "สุเทพ" เสียเลย ?

ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้สามารถให้ความรักกับคนที่เกลียดชังเรา โลกคงจะน่าอยู่ราวสรวงสวรรค์

เพราะท้ายที่สุดของการรักคนที่เกลียด โลกใบนี้ก็จะเหลือแต่คนที่รักกัน แล้วจะมีสังคมใดบรมสุขเท่าสังคมที่สมาชิกของสังคมทุกคนรักกัน...?

แต่ในบางเงื่อนไข ความรักที่เกิดขึ้นต้องเป็นความรักบริสุทธิ์ ที่ไม่เห็นแก่ตัว และไม่หวังการครอบครอง

ไม่เช่นนั้นจะเจอปัญหาดังที่ผมถามยั่วเย้าคุณ Thanawut ข้างต้น นะครับ

*

จากคุณ Thanawut...

แอบๆ "สุเทพ" ครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง

เมื่อถึงเวลา...อย่าลืมสั่งลูกหลานให้เอาขวานใส่ไปด้วยแล้วกัน...อิอิ

*

จากคุณ คนชอบอ่านหนังสือ...

นึกๆที่คุณบอกให้เอาขวานใส่โลงไปด้วยเวลาตายน่ะ ผมมีเรื่องที่ขำไม่ค่อยออก

หลายสิบปีแล้วตอนผมยังเด็กๆอยู่จำได้ 11-12 ขวบ นี่แหละ ญาติผู้ใหญ่ผมคนหนึ่งถ้าจะนับญาติก็ห่างๆแกมีนิสัยห่ามๆชอบกลอยู่ ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก รู้แต่ว่าตอนแกเสียให้เอาขวานใส่โลงไปด้วย พวกลูกๆเห็นว่าเป็นคำสั่งเสียก็ทำตามนั้น

ก็เก็บไว้หลายวันรอญาติมาครบถึงจะเผา ที่ไหนได้ เลยเจ็ดวันไปไม่นานมาเข้าฝันพวกลูกวุ่นวายไปหมดให้ไปเอาขวานออกจากโลงด่วนเพราะยมพบาลเอาขวานนั่นจามหัวแกไม่หยุดเลย

ยืนยันเป็นประสบการณ์จริงที่ผมพบเห็นมา เพราะอีตอนใส่ขวานผมไม่ทราบแต่ตอนไปเอาออกนี่ผมตามเขาไปดูด้วย วิ่งไปถามพระอาจารย์ ท่านบอกเวรกรรมว่ะแค่นั้นเอง...หึหึ

*

จากคุณ Thanawut...

อ้อ...แล้วอีกอย่างแนบไปติดสินบน เอา Black Lable ใส่ไปด้วยน่ะ กันไว้เดี๋ยวจะโดนเอาขวานจามหัวแบบที่คุณคนชอบอ่านหนังสือบอกมาครับ...อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

18> "สอนอย่างไรให้ถึงฝัน" ... คุณครูทักษิณ ชินวัตร

1

2

3

4

5

6

7

8

คิดเป็น หรือ คิดไม่เป็น?

คำถาม...

มีเงิน 10 บาท ไปตลาดซื้อของ 4 บาท จะได้รับทอนเท่าไหร่?

ก. ได้รับทอน 6 บาท

ข. ได้รับทอน 1 บาท

ค. ไม่ได้รับทอน

ง. ข้อ ก. , ข. และ ค. ถูกทั้งหมด

คำตอบ...

ถ้าเป็น แบบท่องจำ...คำตอบที่ถูกต้องได้คะแนนคือ ก. ได้รับทอน 6 บาท

แต่ถ้า คิดเป็นและคิดอย่างรอบด้าน คำตอบก็จะเป็น ง. ข้อ ก. , ข. และ ค. ถูกทั้งหมด อธิบายว่า...

ถ้ามีเงินเป็นแบ็งค์หรือเหรียญสิบ ได้รับทอน 6 บาท

ถ้ามีเงินเป็นแบ็งค์หรือเหรียญห้า ได้รับทอน 1 บาท

แต่ถ้ามีเงินเป็นแบ็งค์หรือเหรียญหนึ่งบาททั้งหมด ไม่ได้รับทอน



บทความนี้สรุปย่อจาก ท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สอนนักเรียนที่ โรงเรียนสามเสนวิทยา ในปี 2546 ครูควรสอนเด็กอย่างไรให้ถึงฝัน มีดังนี้

- เรียนพร้อมกับเด็ก
- อย่ากลัวเสียหน้า
- อย่าทำหน้าเครียด อย่าทำจิตวุ่น
- เรียกจิตวิญญาณครูกลับมา
- ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น
- ยึดหลักธรรมชาติด้วยศีล สมาธิ และปัญญา
- ต้องเมตตาเด็ก
- ร่วมมือกับผู้ปกครองดูแลเด็ก
- เรียนรู้แบบวิถีธรรมชาติ (Back to Basic)
- ใช้พลังอำนาจเหมือนพ่อแม่
- ให้นักเรียนมีส่วนร่วมกันคิดกันทำกันเรียน
- ต้องเชื่อมโยงกับหน่วยงานเรียนถัดไป หรือก่อนหน้า
- หาทางพัฒนาหลักสูตร
- เรียงลำดับความรู้เข้าสมองเด็กทีละน้อย ยัดเยียดไม่ได้
- สอนให้เด็กรักเรียนรู้ เรียนเพื่อรู้ ไม่ใช่เพื่อประกาศนียบัตร
- ปรับวัฒนธรรมในการสอน เอาเด็กเป็นศูนย์ (Learner - Learning) ไม่ใช่เอาแต่สอนลูกเดียว (Teacher - Teaching)
- ข่าวสารยุคใหม่ เข้าสมองเด็กมากๆ
- ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งเด็กและครู
- ทุกเรื่องที่เรียน ต้องเข้าใจชีวิต และเทคนิคการสอน
- สอนให้เด็กเห็นตำราเรียนภาษาอังกฤษบ้าง จะได้ไม่กลัวตำราอังกฤษ (Text Book) ตอนโต
- ตำราไทยมักล้าสมัย เพราะแปลมาจากตำราฝรั่ง ต้องหัดอ่านตำราฝรั่งบ้าง
- ระบบการศึกษา เราเรียนจากฝรั่ง แล้วก็ไม่เข้าใจ
- สอนให้เด็กท่องจำ ต้องเข้าโรงเรียนกวดวิชา เพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ตามคณะที่ต้องการ
- จงปฏิสัมพันธ์กับเด็กที่มีปัญหา เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา

* ขั้นตอนการสอนมีดังนี้ *

- ทำความคุ้นเคยก่อนกับเด็ก
- จูงใจให้อยากเรียน โดยชี้ให้เห็นประโยชน์ เช่น เรียนคณิตศาสตร์ แล้วจะเป็นการฝึกคิด ให้คิดเป็น มีเหตุมีผล เอาไปต่อยอดในการเรียนวิทยาศาสตร์ต่อไป ซึ่งต่อไปในชีวิตจะใช้งานได้
- มาเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ต้องอายเด็ก
- ครูต้องท้าทายความสามารถเด็ก ให้เขาทำการแก้ปัญหา ไม่ต้องรีบสอนบอกหมด ลองให้เด็กทำดูก่อนสอน
- สร้างบรรยากาศการเรียนให้สนุก ตลก มีการตอบสนองแบบเฮอา ลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นด้วย
- เด็กไม่ชอบคณิตศาสตร์ เพราะไม่ชอบครู หน้าตาครูบอกบุญไม่รับ เด็กต้องไม่เอาอนาคตไปฝากกับครูที่เครียด
- Play & Learn คือ เพลิน (Plearn) หรือเล่นและเรียน
- คณิตให้เรียนแบบเรียงหิน แล้วใช้ปูนก่อ หากเรียนเร็วก็จะล้ม เพราะปูนยังไม่แห้ง จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับแต่ละคน
- จุดอ่อนการสอนในไทย อนุบาลสอนแบบหย่อนๆพอรู้ ชั้นปฐมสอนอัดเต็มที่ ไม่มีความพอดี
- ดูเลขนั้น เหมือนตรวจสุขภาพองค์กร เจาะเลือดมาดูไขมัน คอเรสเตอรอล หากไม่ดีก็แก้ไขเหมือนการทำธุรกิจ
- ไม่เก่งเลขไม่เป็นไร แต่อย่าเกลียด
- ยีนเก่งภาษากับยีนเก่งคณิตศาสตร์ เป็นยีนตัวเดียวกัน
- เอาโจทย์งานจริงมาสอนคณิตศาสตร์ เช่นการค้าขายผัก จะทำให้เรียนคณิตศาสตร์นั้นเป็นชีวิตประจำวัน
- หัดใช้ตำราภาษาอังกฤษ (Text Book) บ้าง พอใช้ศัพท์ไทยแทนศัพท์ภาษาอังกฤษ ฟังไม่รู้เรื่องเลย ศัพท์ไทยหรูเกินไป จนต้องแปลไทยเป็นไทย
- จุดอ่อนคือตำราเรียน แพง หายาก และล้าสมัย
- การเรียนแต่ละวิชาไม่สอดคล้องรับกัน สลับกันไปมา ทำให้เกื้อกูลกันลำบาก
- ครู นักเรียน หลักสูตร คือหัวใจการศึกษา
- สำคัญที่สุดคือครู ต้องเรียนรู้ไปกับเด็ก ทำให้เด็กอยากเรียน (Willing to Learn) ไม่เซ็ง ครูน่าเบื่อก็จะทำให้นักเรียนเบื่อตาม
- เรียนเพื่อรู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อประกาศนียบัตร ซึ่งเป็นวีซ่าเข้างานเท่านั้น มิเช่นนั้นเรียนแล้วลืมหมด
- จงเรียนให้มันสนุก เล่นให้มีสาระ
- เด็กต้องเตรียมอ่านล่วงหน้า ก่อนเข้าห้องเรียนได้ จะดีที่สุด
- บางทีต้องยอมเสียเวลาเพื่อเอางาน เอาความเข้าใจ
- ข้อคิดคือเลิกทำงานแล้วหรือเกษียณแล้วอยากจะมาสอน ต้องการสอนคน
- ในโลกนี้ต้องปรับตัว (Adapt) ให้คิดนอกกรอบบ้าง จงปรับมาใช้ (Modify) เช่นแก้ฟิสิกส์ด้วยตรีโกณก็ได้

Teaching for Dream
By: สมหวัง วิทยาปัญญานนท์

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

17> ฟื้นฝอยหาตะขาบ หาบมาเต็มกระบุง...นะจ๊ะ!...


ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร 25พ.ย.2552.......

เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้บ่อยๆจำเจจนซ้ำซาก รู้สึกเฉยๆกับคนที่กำลังเล่า เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร เป็นเรื่อง joke ที่จับมาตีสีใส่ไข่เพื่อให้สนุกสนานในวงสนทนาเพื่อนฝูงกันเท่านั้น

เมื่อกลางปีสองพันเก้าโทรไปหาเพื่อนที่รักกันมากตอนเรียนหนังสือ รักมากขนาดมีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้นั่นแหละ ไอ้ตี๋หยีเป็นชื่อที่ผมตั้งให้เพราะมันตาหยีจนเกือบลืมตาไม่ได้ แต่ตอนนี้มันผ่าหางตาเรียบร้อยแล้วดูตากลมโตขึ้น

ไอ้ตี๋หยีเป็นคนลอดช่องโดยกำเนิด ตอนนี้ทำหน้าที่เฝ้าคฤหาสน์ที่สิงคโปร์ให้ลูกหลานผู้มีอันจะกินของเมืองไทยท่านหนึ่งแทนพ่อแม่ของมันที่มีธุระเดินทางไปสวรรค์ ท่านผู้มีอันจะกินท่านนี้ (ก็มีธุระเดินทางไปสวรรค์ด้วยเช่นกัน) ตอนนั้นเลยตกกระไดพลอยโจนรับมันเป็นลูกบุญธรรม ย้อนกลับไปราวๆ 35-40 ปีพ่อแม่ไอ้ตี๋หยีส่งมันมาเรียนระดับอุดมศึกษาในเมืองไทย เลยได้เป็นเพื่อนรักกับผม เพราะผมสอนภาษาไทยให้มัน มันก็สอนภาษาของมันให้ผมบ้าง แต่สมองผมไม่ดีเองเลยรับภาษาของมันไม่ได้

เมื่อรู้ว่าเป็นใครโทรมันเริ่มต้นทักทายผมตามประสาคนปากไวแต่พูดไม่ชัดของมันทันที "เมืองไทยของยูนี่ดีทุกอย่าง" ดียังไงวะไอ้ตี๋หยี "มีวัดวาอารามปูชนียสถานสวยงาม" ผมยืดอกนึกกระหยิ่มที่มันชม หนึ่งละ "มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์" สองละ "มีภูเขามีทะเลก็สวยงาม" สามสี่ละ "มีสนามบินสุวรรณภูมิก็หนึ่งในเอเชีย" พอๆพอแล้วโว้ยตัวไอจะลอยอยู่แล้ว "เสียอย่างเดียว!" มันลดโทนเสียงลง ผมกระแทกเสียงห้วนๆกลับไป เสียอะไรวะไอ้ตี๋หยี... ในใจก็นึกเสียอย่างเดียวมีดีอยู่ตั้งสี่ห้าอย่างถึงยังไงก็เรียกว่าดีอยู่นั่นแหละ

"เสียอย่างเดียว...มีคนไทยอย่างยูอยู่" มันพูดมาตามสายเร็วปรื๋อ บ๊ะไอ้นี่...วอนซะแล้วไหมล่ะ มาว่าโง่เหมือนควายเหลือง "ทำไมล่ะ...คนดีๆมีพาวเวอร์ที่ทั่วโลกเขาต้องการยูกลับไล่ไม่ให้อยู่ซะนี่...เสียดายๆ..." มันลากหางเสียงยาว ผมหูร้อนผ่าว ไอไม่ได้ไล่ พวกควายเหลืองมันไล่โว้ย นี่ถ้ายูอยู่ใกล้ๆโดนถีบแล้ว เออ...ฝากไว้ก่อนโว้ย ปลายปีนี้ระวังตัวให้ดีๆไอจะบินไป kick you ให้หายแค้นว่ะไอ้เฒ่าตี๋หยี...

มาคิดอีกทีก็จริงของไอ้ตี๋หยีมันว่า สามสี่ปีมานี่เราก้าวหน้าขึ้นคลองจนสุดกู่ แต่ก่อนเราเคยแข่งขันกับยุ่นปี่ญี่ปุ่น พอจะกระเตื้องก็เขยิบขึ้นไปแข่งกับสิงคโปร์-มาเลย์ พอจะฟื้นมีชื่อมีงานมีเงินก็ต้องเขยิบขึ้นๆ มาแข่งกับเวียดนาม-เขมร... อีกหน่อยก็คงพม่าลาวไปโน่นแหละ...โชคดีของประเทศไทยเจงๆ

เสียดาย...เสียดาย...แล้วคุณล่ะ...เสียดายไหม?



ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร 12ม.ค.2553.......

เมื่อครั้งยังทำงาน...ผมมีลูกน้องคนนึง เธอเป็นคนต่างจังหวัดเรียนจบแล้วทำงานเลย เธอเป็นคนสวย...จัดว่าสวยกว่าลูกน้องหญิงหลายๆคนในแผนกของผม พอถึงสิ้นเดือนทีไรจะมีลูกน้องคนอื่นๆมาฟ้องผมอยู่เสมอๆว่าเธอยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้พูดผัดวันประกันพรุ่งเอาตัวรอดไปวันๆ บรรดาลูกน้องที่มาฟ้องผม ขอร้องให้ผมช่วยหักเงินเดือนของเธอในเดือนต่อไปให้ด้วย

ผมเอาประวัติมาดู เธอคนนี้บริษัทจ่ายเงินเดือน 1,500 อ่ะ...คุณๆผู้อ่านอย่าเพิ่งติ ตอนนั้นน่ะค่าแรงขั้นต่ำวันละ 15 บาทนะครับ 1,500 นี่นับว่าหรูแล้ว ผู้จัดการได้เงินเดือน 5,000 หัวหน้าแผนกอย่างผม 3,500 สมัยนั้นมีเพลงฮิตอยู่เพลง เนื้อร้องว่า...ทำงานทั้งวันได้พันห้า เดินไปเดินมาได้ห้าพัน...

ผมเรียกเธอมาสอบถาม เธอร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ผมเลยปล่อยให้นั่งร้องไห้อยู่ต่อหน้าเกือบชั่วโมง หลังจากหยุดสะอึกสะอื้นแล้ว เธอก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้ผมฟัง

เธอเล่าว่าเป็นคนต่างจังหวัด(ขอสงวนครับ) เข้ามาเรียนต่อปริญญาตรีจนจบ แล้วทำงานที่บริษัทได้ปีกว่า จะต้องส่งเงินให้พ่อแม่ 500 ทุกๆเดือน แรกๆก็ส่งได้สม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง ก็อย่างว่าแหละผู้หญิงค่าใช้จ่ายส่วนตัวมันสารพัด ค่ารถค่ากินอยู่ ค่าเช่าหอพัก ไหนจะต้องตัดเสื้อผ้าใส่อีกล่ะ จะให้ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆเหมือนชุด นศ.ได้อย่างไรล่ะ

ระยะหลังๆเมื่อเงินไม่พอใช้เธอก็หยิบยืมเพื่อนๆในแผนก แล้วก็ลามไปแผนกอื่นด้วย เธอใช้วิธีหมุนยืมเงินคนนั้นไปใช้คนนี้ ยืมเงินคนนี้ไปใช้คนนั้น สลับสับไปสับมาจนกระทั่งหนี้พอกพูนเป็นงูกินหางยาวเหยียดเหยียบหมื่นแน่ะ

เมื่อไม่มีเงินบางเดือนเธอก็หยุดส่ง แล้วต้นเดือนวันนึงพ่อแม่พร้อมกับพี่และน้องจากต่างจังหวัดก็มาเยี่ยม เธอดีใจจนเนื้อเต้นที่พ่อแม่มาเยี่ยมคงมาถามสารทุกข์สุขดิบมั้ง แต่เธอก็ต้องผิดหวัง เพราะเจอหน้ากันคำถามแรกที่ได้ยิน ทำไมไม่ส่งเงิน? และคำด่าอีกสารพัด มากันสี่คนเพื่อจะทวงเงิน 500 น่ะเนี่ยะ ค่ารถไปกลับค่ากินก็หมดแล้ว...

ทั้งพ่อแม่พี่และน้องพากันกลับหลังจากเธอควักเงินที่เหลือสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวในเดือนนั้น 1,200 ให้ไปทั้งหมดเลย แล้วก็นึกไม่ออกว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายจนถึงสิ้นเดือน

ผมสะเทือนใจเมื่อได้ยินได้ฟังที่เธอเล่ามา แต่ก็พูดอะไรไม่ออก ผมน่ะนิสัยส่วนตัวเป็นคนขี้สงสารคนอยู่แล้ว คิดในใจว่าจะช่วยเธออย่างไรดี ปรึกษากับผู้จัดการก็ได้ข้อสรุป ให้เธอยืมเงินสวัสดิการพนักงาน 10,000 เพื่อเอาไปใช้หนี้ทั้งหมด แล้วให้เธอใช้คืนผ่อนส่งเดือนละ 100 จนครบไม่คิดดอกเบี้ยโดยมีผมเป็นผู้ค้ำประกัน ถ้าเธอส่งตามนี้ก็ 100 เดือน 8 ปีกว่าๆ บ้าไหมล่ะ...นิสัยช่วยเหลือคนอื่นของผม หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆก็เงียบสงบจนผมลืมไปเลย

2 ปีต่อมา วันปีใหม่เธอเอาผลไม้มาสวัสดีผม ผมรับผลไม้และสวัสดีตอบ เธอยื่นถุงหนาๆส่งให้ ผมเปิดดูแบ็งค์ร้อยเป็นปึก (ตอนนั้นแบ็งค์ร้อยสูงสุด ยังไม่มีแบ็งค์ 500, 1,000) ถามว่าเอาเงินมาทำไมรึ เธอบอกว่าเอามาใช้หนี้ที่ยืมเงินสวัสดิการพนักงานไปเมื่อ 2 ปีก่อน ผมบอกว่าเอาคืนไปเก็บไว้ใช้เถอะ เงินที่ยืมก็ใช้คืนเดือนละ 100 จนครบเหมือนเดิมนั่นแหละ

เธอบอกว่าตอนนี้มีเงินเหลือใช้ เมื่อมีหนี้ก็อยากจะใช้คืนให้หมดๆไป ผมซักถามอะไรอีกหลายอย่าง เธอเล่าให้ฟังว่า เธอใช้เวลาตอนเย็นจนถึงดึกดื่นค่อนคืนหลังเลิกงานที่บริษัทไปเป็นหมอนวดในอ่าง เพราะเธอมีความสวยเป็นทุนอยู่แล้วจึงมีรายได้งามเป็นที่ถูกอกถูกใจของแขกที่มาใช้บริการให้ทิปเธอครั้งละมากๆ บางครั้งแขกก็ออฟเธอออกไปข้างนอกด้วย

เธอเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังอีกหลายๆเรื่องแต่ผมไม่ขอนำมาขยายต่อนะครับ สุดท้ายเธอว่าจะขอลาออกจากงานเพื่อไปเป็นหมอนวดเต็มตัว ผมค้านบอกว่า จะลาออกไปทำไมล่ะ อยู่ทำงานต่อไปเถอะ แล้วถือโอกาสตักเตือนเธอ...

ความสวยความงามเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน ผมบอกให้เธอเอารูปถ่ายเมื่อสองปีก่อนมาเทียบกับรูปถ่ายปัจจุบัน จะเห็นว่าเธอแก่ลงหน้าเริ่มเหี่ยวย่นไม่เต่งตึงเหมือนก่อนแล้ว การทำงานอย่างนั้นมันทำได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวพอเริ่มแก่ก็เริ่มหมดราคา ตอนนี้เมื่อมีราคาก็ควรจะตักตวงเงินที่ได้ก็เก็บฝากธนาคารเอาไว้ เมื่อเริ่มหมดราคาก็ให้เลิกเลย

สำหรับงานที่บริษัทถึงแม้ว่ารายได้จะน้อยกว่าแต่ก็เป็นงานที่มั่นคงเชิดหน้าชูตา เอาไว้เผื่อวันข้างหน้าเมื่อเธอเจอคนที่รักเธอจริง ตอนนี้ให้พยายามรักษาเนื้อรักษาตัวไม่ให้เป็นกามโรค (สมัยนั้นยังไม่มีเอดส์) หมั่นไปตรวจดูแลสุขภาพให้ดีๆ (คลินิคหมอเพียร เวชบูล ที่สี่แยกหลานหลวง)

เธอเชื่อผมและอยู่ทำงานที่บริษัทต่อไปไม่ลาออก วันปีใหม่อีกปีเธอก็เอาผลไม้มาสวัสดีผมอีก คราวนี้บอกว่าเธอเลิกอาชีพหมอนวดแล้ว เงินที่ได้ทั้งหมดเอาไปปลูกบ้านใหม่และฝากธนาคารในชื่อของพ่อแม่หลายหมื่น

ผมได้ฟังโล่งอกไปทีที่เรื่องจบลงแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งมีความสุขด้วยกันทุกๆฝ่าย แต่มานึกถึงว่าถ้าเรื่องมันจบแบบตรงข้ามล่ะ สมมุติว่าเธอเป็นกามโรค หน้าตาซีดเซียวอมโรคไม่มีเรี่ยวแรง แล้วชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร ใครจะรักษาอุปการะเลี้ยงดูเธอ...คิดแล้วไม่อยากจะคิดต่อให้มันสังเวชยิ่งไปกว่านี้อีก

แต่คุณๆผู้อ่านไม่ต้องเป็นห่วงเธอครับ เพราะอานิสงส์ที่เป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ ปัจจุบันนี้เธออยู่ที่เจนีวาอายุ 50 กว่าๆ มีความสุขกับฝรั่งเนื้อคู่ของเธอมีลูกด้วยกัน 2 คนสวยหล่อทั้งคู่เรียนจบ Dr.มีงานทำเป็นหลักเป็นฐานมีครอบครัวกันแล้ว ตอนนี้เธอเป็นทั้งคุณย่าและคุณยาย เธอเลี้ยงลูกทั้ง 2 แบบคนไทยเลี้ยงลูกไม่ให้ห่างไปไหนให้ปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆในละแวกเดียวกันไปมาหาสู่สะดวกสบาย เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผมก็เพิ่งแวะไปเยี่ยมเธอมาครับ

เรื่องนี้ผมเอามาเล่าให้เป็นอุทาหรณ์แก่พ่อแม่ทุกๆคน จะเอาแต่เงินของลูกอย่างเดียวโดยไม่คิดว่าลูกจะหาเงินมาจากไหนอย่างถูกต้องหรือไม่อย่างไร นี่ถ้ารู้ว่าเงินที่เอามาปลูกบ้านใหม่และเงินฝากธนาคารได้มาจากหยาดน้ำกามของลูก เดาไม่ถูกว่าพ่อแม่ของเธอจะเฉยๆหรือซาบซึ้งหรือรังเกียจเดียดฉันท์กันแน่

ปล. เมื่อปลายปีผมไปเยี่ยมเธอมา ตอนนี้เธออยู่ที่เจนีวาครับ ลูกสาวลูกชายของเธอก็น่ารัก ฝรั่งนี่เชื้อเขาแรงจริงๆ ลูกหน้าตาถอดแบบออกมาจากพ่อเปี๊ยบเลย เมื่อกลับมาเลยเขียนย้อนความหลังไปหา...

เธอบอกว่า ตอนนั้นถ้าเธอไม่เชื่อผม ตอนนี้เธอคงมาไม่ถึงอย่างนี้หรอก ผู้ชายฝรั่งนี่ดีอยู่อย่าง คือไม่ค่อยสนใจปูมหลังปูมหน้าของผู้หญิง ว่าจะผ่านผู้ชายมากี่คนก็ไม่สน บางคนกลับชอบอกชอบใจเสียอีกถือว่ามีประสบการณ์ ขออย่างเดียวเมื่อแต่งงานกันแล้วให้รักเดียวใจเดียว มีความซื่อสัตย์ต่อสามีเป็นใช้ได้ ไม่เหมือนผู้ชายไทย พอรู้ว่าแฟนตัวเองเคยเสียเนื้อเสียตัวมาแล้ว ความรักความหลงหดหายไปหมด บางรายถึงกับหย่าร้างเลิกกันไปเลย



ไหนๆก็เล่าเรื่องลูกน้องก็ขอแถมอีกคนครับ เป็นผู้ชายคนขับรถของบริษัท นายคนนี้ผมสังเกตเห็นเวลาพักเที่ยงจะห่อข้าวจากบ้านมากินที่ทำงานทุกๆวัน นัยว่าเป็นคนประหยัดดี ผมคิดจะให้รางวัลตอนสิ้นปีว่าเป็นคนรู้จักประหยัดรู้จักใช้จ่ายในสิ่งที่ควรไม่ควร

เรื่องมาแตกเอาตรงวันสิ้นเดือนวันเงินเดือนออก เมียของคนขับรถนายนี้อุ้มลูกสาวประมาณ 1 ขวบและจูงลูกชายประมาณ 3 ขวบ เข้ามาขอพบผมที่ห้องทำงาน ร้องห่มร้องไห้จะขอรับเงินเดือนของสามี ผมถามว่าทำไมล่ะ เธอเล่าให้ฟังว่า วันรับเงินเดือนก่อนกลับบ้านพ่อเจ้าประคุณสามีจะแวะกินเหล้าเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูง กว่าจะถึงบ้านก็ครึ่งคืนค่อนคืน เหลือเงินติดกระเป๋าไม่กี่ร้อย มันไม่พอใช้จ่ายในครอบครัวซึ่งมีลูก 2 คน

ผมเรียกคนขับรถมาสอบถาม แล้วเอาเงินเดือนออกมาวางต่อหน้า บอกให้คุณเมียหยิบเอาไปเลยเท่าที่คิดว่าจะพอใช้จ่ายจนถึงสิ้นเดือน พ่อสามีมองหน้าผมทำตาปริบๆ หัวหน้าแล้วผมจะเอาที่ไหนไปใช้หนี้ล่ะ ผมถามว่าหนี้เท่าไหร่ ตอบว่าเป็นหนี้เพื่อนหนึ่งพันครับ

เรื่องมันจึงถึงบางอ้อ ไอ้ที่ห่อข้าวมากินที่ทำงานทุกๆวันน่ะไม่ใช่รู้จักประหยัดหรอก แต่เป็นเพราะไม่มีต่างหาก หาเงินทั้งเดือนเพื่อเอามากินเหล้าวันเดียว แล้วก็หยิบยืมเงินเพื่อนๆใช้จนชนเดือน พอสิ้นเดือนก็ใช้คืนแล้วยืมใหม่ต่อเนื่องกันอย่างนี้แหละ ฝ่ายเมียอยู่ที่บ้านเลี้ยงลูกก็อาศัยค้าขายเล็กๆน้อยๆหาค่ากับข้าวไปวันๆ พ่อสามีก็ถือโอกาสห่อข้าวเอามากินที่ทำงานทุกๆวันไง

ผมแก้ปัญหาด้วยการควักเงินในกระเป๋าของตัวเองหนึ่งพันให้เอาไปใช้หนี้ ถามว่าเงินที่เหลือวางบนโต๊ะหลังจากเมียหยิบเอาไปแล้วพอใช้จ่ายถึงสิ้นเดือนมั๊ย ตอบว่าพอครับ ตกลงผมให้ผ่อนใช้คืนเดือนละร้อยจนกว่าจะครบหนึ่งพัน

คล้อยหลังไปปีกว่า เมียของคนขับรถนายนี้จูงลูกสาวลูกชาย เข้ามาขอพบผมที่ห้องทำงานอีก คราวนี้ไม่ร้องห่มร้องไห้ แต่หน้าตายิ้มแย้มดูสดใสสวยขึ้นกว่าครั้งก่อนเยอะ เธอและลูกๆใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ สังเกตที่คอมีสร้อยทองคำเส้นเบ้อเหิ่ม เข้ามาถึงเธอยกมือไหว้และบอกให้ลูกๆไหว้ผมด้วย

คราวนี้เธอมาขอบคุณผมครับ
*

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

16> ห้องนอนเหม็นอับ? มีเคล็ดลับวิธีแก้มาบอก...


ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร 6มิ.ย.2553.......

เพื่อนๆคุณผู้อ่านทุกๆท่านครับ เพราะคิดถึง...เพราะรัก...น่ะ ไม่คิดถึง...ไม่รัก...ไม่ชอบกัน เคล็ดลับอันนี้มะบอกนะเนี่ย...

อู๊ย! อีตาThanawut ใช้อันนี้เรียกค่อยสุภาพหน่อยเดี๋ยวโดนเซ็นอ่ะ...แต่คนข้างบ้านที่มาใช้บริการผม พิมพ์งานใบเสนอราคา วันดีคืนร้ายก็ยกคอมพิวเตอร์ ยกnotebookมาให้ผมเป่าคาถาไล่ไวรัสให้ เขาเรียกผมว่า คุณตาคอม...ครับ ไม่ใช่ๆคอมมูนิดคอมมูหน่อยนะ...อย่าเข้าใจผิดๆ

เอ้าเริ่มใหม่... อู๊ย! อีตาThanawut อ้อนแม่ยก หวานซะไม่มีล่ะ สงสัยลูกสาวคงงามแต้ๆ...อิอิ เสียจาย...มะมีลูกสาวมีแต่ลูกชายกำลังเรียนวิศวคอมฯปี 3 อ่ะ นอกเรื่องไปแล้ว กลับมากลับมาต่อ...

ถ้าห้องนอนบ้านใครมีกลิ่นเหม็นอับๆทึบๆชอบกลๆล่ะก้อ ผมมีวิธีแก้ที่เด็ดขาดชัวร์ๆ 100% ไม่ใช่อโรม่าอะโรแมวน่ะ เคล็ดลับของผมนี่ถูกที่สุดในโลก อะคุยซะไม่มีใครเกินล่ะ แล้วทีนี้ห้องนอนเราบ้านเราใครที่เข้ามาจะทักทันที ก็มันหอมสดชื่นเข้าไปถึงหัวใจ และสำหรับตัวเราเองตอนกลางคืนก็นอนหลับสบายๆไม่ฝันร้ายไม่ตกใจตื่นขึ้นมาตอนดึกๆด้วย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าๆ อ้า...โลกนี้ช่างสดชื่นสดใสให้รื่นเริงสุขสำราญเหมือนดอกใบบานยามเช้า โอ้ย...สุขสดชื่นอะไรจะปานนั้น

ดูรูปกันอีกครั้ง เดี๋ยวจะเม้าท์ให้ฟัง (อ่าน)

ก่อนอื่นให้ซื้อยาผงแดง นั่นแน่...ตาThanawut จะแนะนำอะไรก็ไม่พ้นแดงแด้งแดง...อุตส่าห์หนีกระทู้ข้างนอกเข้ามาก็เจอแดงแด้งแดงอีก...เฮ้อเบื่อๆๆ เพื่อนๆที่รักและคิดถึงทุกๆท่านอย่าเพิ่งเบื่อครับ ก็ยาเขาชื่อนี้จริงๆนะครับ ถ้ามันมียาชื่อ ยาผงม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เอาให้ครบสีรุ้ง 7 สีเลยผมก็จะแนะนำครับ อิอิ...

ถ้าใครไม่รู้จักยาผงแดงก็ให้ถามคนเมืองเหนือดูเขารู้จักกันทุกๆคนแหละ ฝากเขาซื้อก็ได้นะครับสะดวกกว่า กรุงเทพฯหรือต่างจว.อาจหายาก คนเหนือใจดีกันทุกๆคน... สมัยเด็กตอนผมเรียน ป.1-ป.2 ผมเคยตาม "แม่เฒ่า" (คุณยายทวด-ท่านเป็นคุณแม่ของคุณแม่ของคุณแม่ของผม โอ๊ย...ลำดับไม่ถูก) ไปกินไปนอนที่บ้านเพื่อนของคุณยายทวดท่านนี้แหละ ที่บ้านเขาทำยาผงแดงขาย อ้อลืมบอก...อยู่ที่อำเภอป่าซางครับ

ลูกสาวเพื่อนของคุณยายทวดที่ผมเรียกท่านว่า "คุณป้าเพ็ญศรี" เป็นคนดูแลกิจการ ผมก็จำยี่ห้อไม่ได้แล้วตรากระต่ายหรือหมาบ้านหมาป่าอะไรนี่แหละ ก็ไม่ทราบว่าตอนนี้ลูกๆหลานๆของท่านยังสืบทอดตามบรรพบุรุษอยู่หรือเปล่า ถ้าผมผ่านไปแถวป่าซางผมไม่กล้าแวะบ้านเขา เพราะลูกสาวคุณป้าเพ็ญศรีซึ่งก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เขาไม่ชอบขี้หน้าผม ตอนเรียน ม.3-ม.4 เขาเรียนที่ ร.ร.ประจำจังหวัดหญิง ล.พ.2 ส่วนผมเรียนที่ ม.ธ.เมธีวุฒิกร ตอนนั้นผมซนสะเด็ดยาด ทะลึ่งเกะกะเกเรระรานเขาไปเรื่อยแหละ... นี่นี่ ตาThanawut นอกเรื่องอีกแล้ว กลับมากลับมา แล้วห้องตรู...จะหายเหม็นอับมั้ยวะเนี่ย...

เมื่อได้ยาผงแดงมาแล้วก็ฉีกซองเทใส่ถาดโฟมหรือถาดพลาสติกก็ได้ ดูตามรูป แล้วเอาไปวางไว้ใต้หน้าต่าง หัวเตียง หรือหลังแอร์-พัดลมก็ได้ แต่ตอนวางถาดต้องเลือกที่เหมาะๆนะครับ กันไว้เผื่อหลงลืมเอามือไปปัดเท้าไปเตะหรือโดนลมพัดตรงๆแรงๆ ยาผงแดงฟุ้งกระจายเต็มห้องเลย ทีนี้เก็บกวาดยากซะด้วยแหละ

ไวทันใจเหมือนหนังไทยโกห้าโกเจ็ด...ห้องก็หายเหม็นอับไปในพริบตา...พริบตาเดียวจริงๆ จากห้องเหม็นอับๆทึบๆกลายเป็นห้องห้อมหอม...สดชื่น...ตามสมุนไพรที่เขาใช้ทำยาผงแดงนั่นแหละ ชื่นจาย...ชื่นใจ...ถ้าจะให้หอมทั้งบ้าน ก็ทำอย่างเดิมแหละเอาไปวางไว้ทั่วบ้านซัก 3-4 จุด
ยาผงแดงที่แนะนำให้ซื้อน่ะราคาไม่แพงซื้อยกโหลเลยถูกลงมาอีกหน่อย อิอิ งก งก อีกนิด...เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันยกใหญ่ ยาผงแดงที่ว่านี่ไม่ใช่ยาดับกลิ่นนะครับ แต่เป็นยาแก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด คลื่นเหียน อาเจียน เป็นยาแผนโบราณ ถ้าจะเปรียบก็เป็นยาหอมปราบลมนี่แหละครับ เวลาเป็นลมคนเมืองเหนือจะใช้ยาผงแดงนี่แหละปราบลม...

ส่วนผม...ชอบเอามะนาวผลใหญ่ๆทั้งผลใช้มีดคมๆฝานเป็นแผ่นบางๆ แตะเกลือป่นนิดหน่อยแล้วเอาไปคลุกกับยาผงแดง ใส่ปากอมสักครู่แล้วก็เคี้ยวกลืนลงคอ คุณเอ๊ย...ทั้งซ่าๆจี๊ดๆเปรี้ยวๆเค็มๆมันๆขมๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว แต่ถ้าใครไม่ชอบขมก็เอาเปลือกมะนาวทิ้งไป เหอ เหอ พูดแล้วเปรี้ยวปากย้ำยายไย๋เยย...อิอิ





อะไรนะครับ...อ๋อ...อ๋อ... ผมเหรอครับ! นับง่ายๆ เอาเลขท้าย พ.ศ.สองตัวบวก 10 นั่นแหละอายุของผมล่ะ... ผมประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง เรียนจบก็ทำงานตั้งหลักตั้งฐานผ่อนบ้านซื้อที่ดินและมีครอบครัว ต่อสู้กับชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวจนชาชิน ฐานะก็พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนหรือเป็นกังวลเหมือนคนแก่อีกหลายๆคนบนโลกเก่าๆผุๆใบนี้

หลังจากผมเรียนหนังสือจนจบชั้นสูงสุด(ในสมัยนั้น)ของจังหวัดลำพูนแล้ว ปี พ.ศ. 2506 ผมได้รับโอกาสจากท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือให้ไปฝึกงานที่ นสพ. "ไทยเหนือ" โรงพิมพ์ "สงวนการพิมพ์" จังหวัดเชียงใหม่ ได้ฝึกงานและกินนอนอยู่ที่นั่นสองปีเต็มๆ ได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 200 บาท ซึ่งสมัยนั้นนับว่ามากมายพอสมควรสำหรับเด็กฝึกงาน เพราะค่าแรงงานขั้นต่ำที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นเขาจ่ายกันที่ 8 บาทต่อวัน

ท่านเจ้าของ ผู้จัดการ และบรรณาธิการ คือ คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ท่านเป็นนักโบราณคดีเมืองล้านนาด้วย ท่านเป็นคนมีน้ำใจดี โอบอ้อมอารี และมีเมตตา ท่านอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ทั้งทางด้านหนังสือพิมพ์ และงานในโรงพิมพ์แขนงต่างๆ ให้แก่ผมเหมือนกับผมเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านสอนให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของการศึกษา และการใฝ่หาความรู้ให้กับตัวเอง ท่านย้ำอยู่เสมอๆไม่ให้ผมทิ้งการเรียน และแนะนำให้ผมเอาเวลาว่างหลังเลิกงานตอนเย็นไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนใกล้ๆโรงพิมพ์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในปีถัดไป

ครั้นถึงปลายปี พ.ศ. 2508 ผมจึงกราบเท้าอำลาท่านผู้มีพระคุณ "คุณสงวน โชติสุขรัตน์" เบน "เข็มทิศชีวิต" ของตัวเอง มุ่งหน้าสู่ "กรุงเทพมหานคร" ด้วยปณิธานอันแน่วแน่และแรงกล้า สอบเข้าเรียนต่อจนจบวารสารศาสตร์ แล้วไปฝึกงานที่ นสพ.เดลินิวส์สมัยอยู่สี่พระยาโน่น... จากนั้นชีวิตหักเหผมไม่ได้ทำงาน นสพ.ฉบับไหนเลย แต่จับผลัดจับผลูถูกเพื่อนลากเข้าไปทำงานในบริษัทคอมพิวเตอร์ที่พ่อของมันเป็นหุ้นส่วน มะงุมมะงาหราตั้งแต่คอมฯตัวใหญ่โตมโหฬารเท่าตึก 3-4 ชั้นจนมันเล็กลงๆเหลือกระจี๊ดเดียวเท่าเมล็ดถั่วเขียว ผมเพลิดเพลินกับงานที่ไม่ได้อยู่ในสายที่เรียนมาจนกระทั่งเกษียณอายุ...ได้รางวัลปลอบใจจากบริษัทฯหลายตังค์

ชีวิตผมตั้งแต่หนุ่มๆจน 63 แล้วปีนี้ พูดแล้วจะหาว่าคุย ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนันทุกชนิด พูดแล้วอาย...บางทีได้เลขเด็ดมาก็แอบๆเล่นเหมือนกัน ซื้อทีไรถูกครับ...ถูกกินหมดตูด...ยังจำได้ไหม ตอนที่ไทยรัฐบอกเลข สามสี่งวดติดๆกัน คนถูกกันทั้งประเทศ เราก็อยากจะรวยกับเขามั่ง งวดหน้าทุ่มซักพัน...คุณเอ้ย...งวดนั้นถูกกินเรียบ ต้องขอโทษคุณๆที่ไม่ถูกในงวดนั้นด้วย ผมสารภาพครับเป็นเพราะผมซื้อตามนั่นแหละเลขมันเลยไม่ออก ถูกกินหมดตูดกันเป็นแถวๆ

อุปนิสัย พูดยังกับคุณครูเขียนในสมุดประจำตัวนักเรียนเลยแฮะ...ผมไม่ชอบเที่ยวในที่อโคจร แล้วอีกอย่างผมเป็นคนรักบ้านรักครอบครัวครับ ผมไม่เจ้าชู้ประตูดิน ไม่สำส่อน มีเมียก็มีเป็นคนๆไป (พูดชอบกลๆ) ชีวิตผมจึงสบายๆเมื่อตอนแก่ หลานก็ไม่มีให้เลี้ยง ทุกวันนี้มีความสุขครับ วันๆได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกส่วนมากก็อยู่หน้าคอมฯนั่นแหละ ค้นหาข้อมูลและเก็บเกี่ยวประสบการณ์รื้อฟื้นความทรงจำในอดีตแล้วขุดขึ้นมาเล่ามาเขียนให้คุณผู้อ่านที่เป็นแควนๆติดตามกระทู้ของผมไง ความสุขของผมทุกวันนี้จึงมีเหลือเฟือมากพอที่จะแบ่งปันแจกจ่ายให้ทุกๆท่านได้อย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจครับ และทุกวันนี้ผมยังทำเว็บบล็อก update ข้อมูลเองถึง 7 เว็บนะครับ

เว็บแรก northfoodd
เว็บที่สอง northspot
เว็บที่สาม กองทุนโซน1
เว็บที่สี่ fashionblog
เว็บที่ห้า dukdikpic
เว็บที่หก labour1
และเว็บที่เจ็ดเว็บน้องใหม่ RedBkk.

ว่างๆ ก็ขอเชิญชวนทุกๆท่าน click เข้าไปเยี่ยมชมกันได้นะครับ รับรองมีสาระบันเทิงและบทความที่ประเทืองปัญญาให้ความรู้อย่างลึกซึ้ง เพียบ!

เอ้า! มาต่อให้จบๆ...พูดถึงสุขภาพของผม สุขภาพร่างกายของผมแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน จะมีก็เป็นต้อหินต้อกระจก ผมก็ได้สามสิบบาทนี่แหละ ผ่าตาข้างซ้ายใส่เลนส์เทียม ไม่งั้นผมพิการตาบอดไปแล้วครับ

ผมเป็นทั้งต้อหินต้อกระจก เป็นทั้งสองข้าง ข้างซ้ายผ่าไปแล้ว เหลือข้างขวาคุณหมอเฝ้าดูอาการอยู่ครับ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องผ่าละครับ ทุกวันนี้ต้องไปรับยาที่ รพ.นพรัตนราชธานี ทุกเดือน คุณหมออุดม ภู่วโรดม เป็นคุณหมอรักษาผมและผ่าตัดตาให้ผมครับ คุณหมอบอกว่าผมต้องหยอดตาเพื่อรักษาความดันในลูกตาไปตลอดชีวิต ค่าผ่าตัดตาของผม...อะอะ...สามสิบบาทครับ เขาว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนค่าผ่าตัดตาอย่างน้อยก็สองสามหมื่นขึ้น แล้วอย่างนี้จะให้ผมลืมคุณทักษิณได้อย่างไร...อิอิ อ้าว...อ้าว...อีตาThanawut วกเข้าหาการเมืองจนได้แฮะ คุณหมออุดมที่นี่อีกลิ้งค์

แล้วอีกอย่างนึงผมไม่อยากจะเซด...ผมแข็งแรงก็จริงแต่ตอนนี้เตะปี๊บไม่ดังแล้วครับ ถึงจะดังก็ไม่ดังโป้งโป้ง ดังแค่แปะแปะ ก็ขอสารภาพครับ ผมไปรักษาและก็เป็นคนไข้ที่หนีหมอ คุณหมอเรียกผมตรวจเพื่อหาเชื้อเอดส์เชื้ออดก็หาไม่เจอ ตรวจปัสสาวะ เลือดก็แล้ว เอกซเรย์ก็แล้ว เอานิ้วมือในถุงมือยางเข้าไปควานตรวจดูว่าเป็นริดสีดวงก็แล้วไม่เจอ ครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะหนีหมอ พอเข้าห้องพบหมอคุณหมอไม่พูดอะไร ไม่อธิบายที่มาที่ไปว่าอะไร จู่ๆก็ให้ใบสั่งผ่าตัด ตอนนั้นผมไม่รู้ไปรู้ตอนที่อยู่หน้าห้องจ่ายเงิน ถามเขาว่าทำไมมันมากนัก(ไม่ถึง 5 พัน) น้องคนที่ห้องรับเงินบอกว่าค่าผ่าตัดค่ะ

ตอนนั้นผมเนี่ยะใจหายแว้บ มันทำใจไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ค่าผ่าตัดแพงนะครับ รับตรงๆว่ากลัวครับ กลัวการผ่าตัดเป็นที่สุด ต้องกราบขอโทษงามๆคุณหมอที่ รพ.รามาฯด้วยครับ ที่ตอนนั้นผมใจเสาะจริงๆ

แต่ที่ผ่าตัดตาตอนหลังๆนี่ ทั้งภรรเมียทั้งลูกด้วยช่วยกันปลอบหร็อก ผมจึงยอมใจอ่อนยอมผ่าตัดตา แล้วก็จริงอย่างคุณหมออุดมว่าผ่าตัดตาเจ็บเหมือนกัน เหมือนถูกมดกัด น่ะครับ
*

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

15> สันดานนักการเมือง "เอาดีเข้าตัว ชั่วให้คนอื่น"

เรื่องสั้น ฉ. ๒๖๖๖ "คนของแผ่นดิน" โดย ‘มายาวี’ sakulthai.com

เสียงปรบมือโห่ร้องดังเกรียวกราวไปทั่วบริเวณ นักการเมืองวัยกลางคนผู้มีแฟนๆนิยมชมชอบมากมายก้าวขึ้นมาบนเวที แล้วยกมือไหว้ประชาชน ที่มานั่งฟังการปราศรัยอย่างงดงามราวกับเคยเป็นนักมวยมาก่อน สายตาที่กวาดมองประชาชนเบื้องล่างออกแววปลาบปลื้ม ยังมีคนมาฟังเขาปราศรัยมากมายอย่างเคย

นักการเมืองคนเก่งเดินมาที่ไมโครโฟน แล้วกล่าวทักทายคนที่นั่งฟังอยู่เบื้องล่าง

"สวัสดีครับ พี่น้องทุกคน" เขานับพี่นับน้องกับประชาชนเข้าให้แล้ว"วันนี้ผมมีโอกาสดีที่ได้มาพบกันท่าน ก็จะได้มาเยี่ยมเยียนดูแลทุกข์สุขของพี่น้องกันอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ" เขาพูดไปทั้งที่นึกไม่ออกด้วยซ้ำไปว่า เขามาเดินหาเสียงแถวนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

"พี่น้องทั้งหลาย นอกจากจะมาเยี่ยมเยียนพี่น้องแล้ว ผมก็จะได้กราบเรียนให้ท่านได้ทราบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมได้ทำงานช่วยเหลือพี่น้องได้สมกับที่พี่น้องให้ความไว้วางใจกับผมมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ก็จะได้กราบเรียนให้ได้ทราบว่า รัฐบาลได้ทำอะไรลงไปบ้างเพื่อช่วยให้พี่น้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และจะได้กราบเรียนในสิ่งที่เป็นความจริงให้ท่านได้ทราบว่า สมาชิกพรรคฝ่ายค้านได้ทำอะไรบ้าง เพื่อขัดขวางโครงการดีๆ และเป็นประโยชน์ของรัฐบาล ซึ่งถ้าโครงการเหล่านี้เป็นผลสำเร็จ ก็จะช่วยให้พี่น้องมีชีวิตที่ดีขึ้น ผมจะได้กราบเรียนให้ทราบว่า ฝ่ายค้านได้ทำอย่างไรบ้างกับโครงการเหล่านี้"

ประชาชนที่นั่งฟังอยู่ต่างปรบมือโห่ร้องกันอื้ออึง ใจจดใจจ่อกับคำปราศรัยของเขา ไม่ว่าเขาจะไปปราศรัยที่ไหนก็จะมีคนแห่ไปฟังกันมากมาย จัดเป็นนักการเมืองฝีปากกล้าคนหนึ่ง

ด้านข้างเวทีไกลออกไปหน่อยยังมีคนยืนฟังการปราศรัยอยู่อีกเป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่จะยืนฟังอยู่กับที่ จะขยับเดินไปไหนมาไหนบ้างก็จะไม่พ้นรถเข็นขายน้ำ ขายผลไม้ ที่จอดขายอยู่หลายเจ้า แต่มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาว นุ่งกางเกงยีนส์สีเข้ม เดินเกร่ไปมาเหมือนอยู่ไม่สุข สายตาจับจ้องไปที่นักการเมืองคนเก่งซึ่งกำลังกล่าวคำปราศรัยอยู่บนเวที แล้วเหลือบมองคนที่นั่งฟังการปราศรัยอยู่บ่อยๆ ท่าทางบอกพิรุธเต็มที

ท่าทางแปลกๆ ของนายเสื้อขาวคนนี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของ ร.ต.อ.เทพทอง นายตำรวจหนุ่มผู้รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยในการปราศรัยครั้งนี้ เขาจับตามองไอ้บ้านี่มานานแล้ว ลักษณะอย่างไอ้หมอนี่น่าสงสัยว่ามันคงจะก่อเรื่องแน่ นายตำรวจหนุ่มหันไปพยักหน้ากับจ่าชื้น เป็นความหมายว่าให้ไปประกบไอ้หมอนี่เอาไว้

จ่าชื้นพยักหน้ารับคำสั่ง แล้วเดินลัดเลาะแทรกตัวผ่านกลุ่มคนที่ยืนฟังปราศรัยอยู่ตรงไปหาไอ้หนุ่มเสื้อขาว แต่ก่อนที่จ่าชื้นจะเข้าถึงตัว ไอ้เสื้อขาวก็เผ่นออกไปที่กลุ่มคนที่นั่งอยู่แล้วมันก็แหกปากตะโกนเสียงดังลั่น

"หนีเร็วโว้ย มีคนวางระเบิดเอาไว้"

ราวกับได้ยินวาจาสิทธิ์ กลุ่มคนที่นั่งฟังยืนฟังอยู่ต่างเผ่นกันกระเจิดกระเจิง ดูสับสนอลหม่านวุ่นวายไปหมด ไอ้เสื้อขาวถือโอกาสที่ประชาชนวิ่งหนีกันวุ่นวาย ล้วงเอาวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากเอว แล้วเขวี้ยงขึ้นไปบนเวที

คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ ต่างกรีดร้องวี้ดว้ายสร้างความตื่นตระหนกแก่กลุ่มคนให้มากขึ้นไปอีก นักการเมืองคนเก่ง ซึ่งยังยืนดูเหตุการณ์อยู่บนเวทีหันไปมองวัตถุที่กลิ้งขลุกๆอยู่ใกล้ตัว พอเห็นว่าวัตถุนั้นคืออะไรก็รีบโจนลงจากเวทีแข้งขาแทบหัก

กว่าตำรวจจะฝ่าฝูงชนเข้าไปที่เวทีได้ก็ทุลักทุเลเต็มที เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อไม่มีเสียงระเบิดตูมตามให้ได้ยิน คนที่แตกตื่นกันไปก็กลับมายืนดูเหตุการณ์ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น

มือระเบิดหายไปแล้ว...

ร.ต.อ.เทพทองสั่งลูกน้องให้ไปตามจับไอ้เสื้อขาว ตัวเขาเองขึ้นไปบนเวที ตรงเข้าไปพินิจพิจารณาระเบิดมือที่นอนนิ่งอยู่บนเวที แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นระเบิดปลอมทำจากพลาสติก นายตำรวจหนุ่มหยิบถุงมือจากกระเป๋ากางเกงออกมาสวม แล้วหยิบเอาระเบิดมือลงจากเวที ตรงไปที่นักการเมืองปากกล้าซึ่งกำลังแวดล้อมอยู่ด้วยบริวาร

"เป็นยังไงบ้างครับ" เขากล่าวถามนักการเมืองยิ้มๆ

"ไม่เป็นไรหรอกครับ" นักการเมืองตอบ สีหน้ายังตระหนกอยู่ "นั่นระเบิดจริงหรือเปล่าครับ"

"ระเบิดปลอมครับ" นายร้อยตำรวจตอบอย่างนอบน้อม "ทำจากพลาสติกน่ะครับ"

นักการเมืองยกมือขึ้นลูบอก แล้วกวาดสายตาดูประชาชนที่ยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่

"แล้วไอ้คนเขวี้ยงมันไปไหนแล้วล่ะ" หันมาถามนายตำรวจ

"คงจะเผ่นไปแล้วครับ แต่ผมให้ลูกน้องตามจับแล้ว เอ้อ...ผมขอเชิญท่านไปที่สถานีด้วยครับ จะได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้"

นักการเมืองพยักหน้า

"ได้สิคุณ แต่ผมคงต้องขอปราศรัยต่ออีกสักนิด คนยังอยู่กันอีกมาก เขาอยากจะฟังผมพูดกันทั้งนั้น ถ้าเลิกเสียตอนนี้ก็จะเสียความตั้งใจ นี่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วไม่ใช่หรือ"

"ครับ เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องเคลียร์สถานที่ให้"

แล้ว ร.ต.อ.เทพทองก็เดินไปสั่งการกับลูกน้องของเขา ให้เอาระเบิดปลอมไปเก็บไว้เป็นพยานหลักฐาน เคลียร์สถานที่โดยรอบ และขอกำลังตำรวจเพิ่มเติมเพื่อรักษาความปลอดภัย

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เรื่องทุกอย่างจึงเรียบร้อยลงได้ นักการเมืองคนเก่งขึ้นไปปราศรัยบนเวทีอีกครั้งหนึ่ง

"พี่น้องครับ เห็นไหมครับว่าเขาทำยังไงกับผม" นักการเมืองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ผมเองไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ไม่เคยใช้วิธีสกปรกกับใคร แต่ก็ยังถูกเขาเล่นงานด้วยวิธีนี้" แววตาของเขาบ่งบอกถึงความปวดร้าวเมื่อต้องพูดเรื่องนี้

"เขาไม่ได้นึกว่าผมทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติบ้าง เขาไม่ได้นึกว่าผมทำประโยชน์อะไรให้กับพี่น้องบ้าง เขานึกแต่ว่าผมไปขัดขวางผลประโยชน์ทุจริตของเขา เขาจึงใช้วิธีนี้กับผม"

ประชาชนนั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ ต่างก็นึกเห็นใจเขาที่ถูกคู่แข่งใช้วิธีสกปรก เคราะห์ดีที่เขาไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นประเทศชาติก็จะต้องสูญเสียนักการเมืองที่ดีไป

"ถ้าการกระทำของเขาเป็นผล" นักการเมืองกล่าวปราศรัยต่อไป "แล้วผมตายไปจริงๆ ใครล่ะครับที่จะมาดูแลทุกข์สุขของพี่น้อง ใครล่ะครับที่จะมาอุทิศตัวรับใช้พี่น้องโดยไม่หวังผลตอบแทน"

พวกหน้าม้าที่นั่งอยู่หน้าเวทีปรบมือกันกราว ทำให้คนที่มานั่งฟังพลอยปรบมือไปด้วย เสียงปรบมือจึงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ คล้ายกับว่าประชาชนชื่นชอบเขาเอามากมาย

นักการเมืองคนเก่งปราศรัยต่อไปอีกเกือบชั่วโมง แล้วจึงกล่าวอำลากับประชาชนโดยบอกว่าต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ ทั้งที่จริงๆแล้วเขายังอยากพูดคุยกับประชาชนต่อไปอีก แต่ก็มามีเหตุให้ต้องไปโรงพักเสียก่อน ส่วนพวกที่คิดร้ายกับเขานั้นเขาบอกว่าอโหสิให้ เขาไม่คิดพยาบาทอาฆาตแค้น เขาเชื่อในบาปบุญคุณโทษ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลกรรมของตน แล้วนักการเมืองก็ลงจากเวทีไปพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง

นักการเมืองไปให้ปากคำและลงบันทึกประจำวันที่โรงพัก ก่อนจะกลับเขายังย้ำกับตำรวจว่าขอให้จับคนร้าย และคนบงการให้ได้โดยเร็ว ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อนักการเมืองทุกคน และเพื่อทำให้การเมืองสะอาดและดีขึ้น เสร็จจากเรื่องตำรวจแล้วนักการเมืองคนเก่งจึงให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ทั้งข่าวโทรทัศน์ และข่าวหนังสือพิมพ์ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นข่าวใหญ่ในวันพรุ่งนี้

ออกจากสถานีตำรวจมา ลูกน้องของนักการเมืองก็ขับรถพาเขากลับที่ทำการพรรค ตลอดทางที่รถแล่นมาเขานั่งหลับตานิ่งมาตลอด รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และอ่อนเพลียเต็มทีกับวันที่แสนวุ่นวาย

เมื่อมาถึงที่ทำการพรรค นักการเมืองผู้อุทิศตัวเพื่อประชาชนก็ลงจากรถแล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา โดยไม่พูดจาทักทายกับใครทั้งสิ้น เหล่าบริวารเดินติดตามอย่างใกล้ชิด

เปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่ามีคนมานั่งรออยู่แล้ว นักการเมืองกล่าวทักทายอย่างกันเอง

"มาแล้วรึมึง ตะกี้มึงเขวี้ยงเกือบโดนกบาลกูเชียวนะ คราวหลังเขวี้ยงให้มันห่างตัวหน่อยสิ...ไอ้เวร"

เหอ...เหอ...
*

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

14> การเมืองเร่อะ...อย่า"อิน"ให้มาก เพลาๆกันไว้มั่ง



*

ประชาธิปไตยหล่นหายไป มืดแค่ไหนยายต้องหามันให้เจอหลานเอ๊ย...


ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร 3มิ.ย.2553.......


เรื่องการเมือง เรื่องของความคิดไ่ม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องปกติของคนเรา จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก จะได้ยินผู้ใหญ่คุยกันหลังเลือกตั้ง "เฮ้ย ชั้นลงให้พรรค..." "เฮ้ย ชั้นลงให้พรรค..." คุยกันสนุกสนาน เพราะทุกคนล้วนยอมรับในการเลือกของแต่ละคน และมาลุ้นกันว่าผลเลือกตั้งท้ายสุดเสียงใครจะมากกว่ากัน...ก็เท่านั้นเอง

ย้อนอดีตกลับไป พ.ศ.2496...คุณแม่ส่งผมเข้าเรียนชั้นประถม1 ที่โรงเรียนเทศบาลใกล้บ้าน วันแรกที่ไปโรงเรียนผมยังจำติดหูติดตาได้เป็นอย่างดี เช้าวันนั้น "หละอ่อนหน้อย"(เด็กน้อย)ตัวเล็กๆใบหน้าตื่นๆด้วยความตื่นเต้น สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไหล่ตก ตรงหน้าอกด้านกระเป๋าเสื้อปักอักษรย่อชื่อโรงเรียน"ท.1"(เทศบาล1) ด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินเข้ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีตัวหลวมๆรัดเข็มขัดติ้ว บนหัวสวมหมวกกะโล่สีเดียวกับกางเกงสำหรับกันแดด ที่หัวไหล่สะพายถุงผ้าดิบสำหรับใส่หนังสือเรียน ซึ่งก็มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น(อิอิ...ตอนนั้นยังไม่มีtablet) กำลังเดินลากรองเท้าหนังสีดำปลิวไปตามแรงจูงมือจนเกือบจะฉุดของ"แม่เฒ่า"(คุณยายทวด-ท่านเป็นคุณแม่ของคุณแม่ของคุณแม่ของผม โอ๊ย...ลำดับไม่ถูก)

ใครก็ตามที่ได้เห็นภาพน่ารักๆเช่นนี้ คงจะอดอมยิ้มไปตามๆกันไม่ได้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีๆ เมื่อมองไปที่เข็มขัดคาดเอวของ"หละอ่อนหน้อย"คนนั้น จะเห็นเชือกสีขาวเส้นเล็กๆร้อยเรียงเหรียญยี่สิบสตางค์-สิบสตางค์และห้าสตางค์ ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากันเรียงซ้อนกันอยู่(ค่าจ้างเรียนวันละสามสิบห้าสตางค์) ทั้งหมดเป็นเหรียญดีบุกกลมหนาๆมีรูตรงกลาง ผูกติดกับหูกางเกงด้านหน้าแน่น ซึ่งคุณยายทวดผูกให้ ท่านบอกว่ากลัวเหรียญมันจะหล่นหาย เดี๋ยวจะอดซื้อขนมกินที่โรงเรียน


โดยปรกติคุณยายทวดท่านชอบดูลิเก โดยเฉพาะงานสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย ท่านจะผูกขาดนั่งเฝ้าหน้าโรงลิเกทุกๆคืน ตั้งแต่คืนแรกจนถึงคืนสุดท้ายของงานซึ่งก็ไม่เกิน 7 วัน 7 คืน ตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถม2หรือประถม3นี่แหละ...ผมต้องไปนั่งเป็นเพื่อนท่านทุกๆคืน เพราะท่านรักเมตตาและเลี้ยงดูผมให้นอนห้องเดียวกับท่าน เมื่อท่านไปดูลิเกผมก็ต้องไปดูลิเกด้วย

ตัวผมเองเป็นคนซอกแซกชอบสังเกตสังกาอะไรรอบๆตัวมาตั้งแต่เด็ก กลางคืนไปนั่งดูเขาแสดงลิเกหน้าโรงพระเอกหล่อนางเอกสวย จึงคิดอยากจะไปดูหลังโรงเวลากลางวันดูมั่ง

ในตอนกลางวันเมื่อยังไม่ถึงเวลาแสดงพระเอกและผู้ชายเกือบทุกคนจะอยู่ในชุดเอนกประสงค์(ชุดไทยเตรียมพร้อม)นุ่งผ้าขะม้าผืนเดียวไม่ใส่เสื้อเนื้อตัวดำปี๋ ส่วนนางเอกและสาวๆมั่งแก่ๆมั่ง 4-5 คนจะนุ่งผ้าถุงกระโจมอก(ชุดไทยยอมแล้ว) นั่งล้อมวงกินข้าวมื้อกลางวันกันอย่างเอร็ดอร่อยหยอกล้อเล่นกันเป็นที่ครื้นเครง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนหรือนั่งท่องบทร้องตามมุมต่างๆทั้งบนเวทีหลังเวทีและใต้ถุนเวที

พอถึงตอนเย็นๆนั่นแหละจะโกลาหลกันอีกครั้ง หลังเวทีทั้งบนและล่าง บ้างก็กำลังอาบน้ำ บ้างก็กำลังกินข้าวมื้อเย็น บ้างก็กำลังขะมักเขม้นหวีผมแต่งหน้าทาปากอยู่หน้ากระจกเตรียมตัวแต่งตัวล่วงหน้ากันตั้งแต่ 5 โมงเย็นเพื่อเปิดโรงแสดงตอนสองทุ่ม

ผมสังเกตหลังเวทีหลายๆครั้งเข้าก็พอจะทราบอะไรลางๆ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ตัวร้ายหรือตัวโกงจะเป็นตั้วโผหรือนายโรงหรือเจ้าของคณะลิเกเอง และร้อยทั้งร้อยตัวนางเอกจะเป็นเมียของตั้วโผ

"ตั้วโผ" เป็นคำจีนสยาม หมายถึง คำจีนที่มีใช้ในคำไทย แต่ชาวบ้านคนไทยออกเสียงเป็น "โต้โผ" มีความหมายว่า เป็นคนออกหน้า เอาการเอางาน ทั้งๆที่คำว่า "ตั้วโผ" ในความหมายของคำจีนนั้น เป็นคำนาม หมายถึง หัวหน้าคณะมหรสพ มีละครและงิ้ว เป็นต้น

คำใกล้เคียงกันก็มี "ตั้วสิว" เป็นคำกริยา หมายถึง ซ่อมแซม เช่น ต้องตั้วสิวสำเภาเอาเข้าอู่ และ "ตั้วเหี่ย" เป็นคำนาม หมายถึง ตำแหน่งหัวหน้าอั้งยี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนไทยคุ้นกับคำว่า "โผ" เดี่ยวๆมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อใกล้ฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ...


ก็เพราะมันเป็นเสียอย่างนี้ มิน่าล่ะ เวลาแสดงตัวร้ายหรือตัวโกงจะดุเด็ดเผ็ดมันถึงพริกถึงขิง โดยเฉพาะฉากที่ตัวโกงไล่ปล้ำนางเอกบนเวทีอุตลุด เป็นที่ถูกอกถูกใจคอวัยรุ่นที่ห้าวๆ และเป็นที่ขัดหูขัดตาไม่พออกพอใจของบรรดาแฟนๆที่เป็นแม่ยกโดยเฉพาะคุณยายทวดของผม ถึงกับเขวี้ยงครกตำหมากทองเหลืองของท่านขึ้นไปบนเวทีเลยทีเดียว...

หรือบางครั้งน้ำตาของคุณยายทวดไหลอาบแก้มเมื่อนางเอกโดนตัวอิจฉาแกล้ง ท่านถึงกับลุกขึ้นยืนท้าวสะเอวตะโกนขึ้นไปบนเวที...ฉันเห็นกับตาเมื่อตะกี้แกหยิบเอาของเขาไป แล้วมีหน้ามาโกหกหน้าด้านๆว่าไม่ได้เอาไป เอามาคืนซะดีดี...ไม่สงสารเขารึ...แกล้งกันอยู่ได้...

หึหึ...ดูลิเกสมัยเด็กๆ แล้วหันกลับมามองเรื่องการเมืองในปัจจุบัน ผมว่าคุณผู้อ่านอย่า"อิน"กับมันให้มากนัก นักการเมืองก็เหมือนนักแสดงลิเกนั่นแหละ พอขึ้นเวทีก็จะแสดงตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จเพื่อให้สมบทสมบาท เป็นรัฐบาลก็แสดงอย่างหนึ่ง เป็นฝ่ายค้านก็แสดงอีกอย่างหนึ่ง ผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็ฟัดกันนัว แต่ถ้าผลประโยชน์ลงตัวก็เงียบหาย กอดคอหอมแก้มกันสดชื่นๆ...เห็นแล้วมันทุเรศว่ะ!...หรือคุณผู้อ่านว่าไง?

อะไรอะไรก็ไม่ว่า พอลงจากเวที...หนอยแน่! ผมเห็นกับตาได้ยินกับหู ลับหลังประชาชน มันยกมือไหว้ขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ว่าเมื่อตะกี้มันเลยตามเลยไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ตัวเฮี่ยเอ๊ยตั้วเฮีย...คงไม่ถือสาว่ากันนะ...ว่าแล้วก็นั่งล้อมวงกินเหล้าเคล้านารีเป็นที่สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงเบิกบานสบายใจเฉิบๆไปด้วยกัน...ที่เขาพูดๆกันหนาหู "ในหมู่นักการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" ก็เห็นท่าจะจริง เนอะ...เนอะ...

เฮ้อ! อนิจฺจํ วต สงฺขารา อ่านว่า...อนิจจัง วะตะ สังขารา กรรมเวรมันตกอยู่ที่ประชาชน...ต้องมาแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งสี แยกเขี้ยวฮึ่มๆแฮ่ๆใส่กันเอง

ประชาธิปไตยอยู่ในมือของเราแค่ไม่ถึง 2 นาที พอเข้าคูหากาเสร็จก็เป็นของนักการเมืองไปแล้ว

มันช้ำใจตรงที่เวลาเราขอคืนมันกลับคืนลูกปืนให้เสียนี่ หรือว่ามันจงใจจะให้ตรงกับคำพังผืดที่ว่า "ประชาชนต้องตายก่อน"
เหอ...เหอ...