PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

61> หึหึ..."สื่อสารมวลชน" ???????????? "สื่อสารเผด็จการชน"


43... Wow!!! พรุ่งนี้(27ส.ค.54) นายกฯปู ลดราคาน้ำมัน
44... ประชาชนกำลังมีความสุข...อย่าชักใบให้เรือเสียเลยพ่อมหาจำเริญ


หึหึ..."สื่อสารมวลชน" ???????????? "สื่อสารเผด็จการชน"
By: Jitara

เมื่อได้รัฐบาลที่มาจากคะแนนเสียงประชาชนทีไร สื่อมวลชนจะต้องหยิบยกคำว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อกับการคุกคามสื่อ มาแหกปากตะโกนเรียกร้องอย่างน่าเบื่อหน่ายทุกทีไป

แต่สมัยที่แล้วหรือสมัยที่มีรัฐบาลที่มีที่มาอย่างพิกลพิการ เช่น รัฐบาลที่มาจากค่ายทหาร รัฐบาลที่มาจากการวิ่งราว และรัฐบาลที่มาจากยึดอำนาจจากคณะรัฐประหาร ปล้นอำนาจประชาชนที่ใช้กำลังทหารและเผด็จการอำมาตย์ควบคุมรัฐบาลอย่างเบ็ดเสร็จ

คำว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อและการคุกคามสื่อ คำเหล่านี้หายไปในบัดดล ไม่มีสื่อไหนหยิบยกมาเรียกร้องความเป็นธรรมความเที่ยงตรงในจรรยาบรรณสื่อ และเอาคำว่าสิทธิการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือนข่าวสาร มาพูดถึงเลย

ทั้งๆที่สื่อสารมวลชนในยุคเผด็จการครองอำนาจนั้น สื่อสารมวลชนทุกแขนงโดนควบคุมและคุกคามหนักหน่วงยิ่งกว่ายุคใดๆ

แต่ไม่มีสื่อหน้าไหน กล้าออกมาแหกปากเรียกร้องหาจรรยาบรรณและความเที่ยงตรงในการนำเสนอเนื้อหาข่าวเลยซักคนเดียว

พอถึงเวลารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาจากเสียงที่แท้จริงจากประชาชนเกิดขึ้นเมื่อไหร่

สื่อสารมวลชนไทยทำตัวเป็นตัวจระเข้ขวางลำคลองทันที แสดงตัวปีกกล้าขาแข็งต่างไปจากยุคเผด็จการอย่างชัดเจน ตั้งตัวเป็นศัตรูของรัฐบาลจากประชาชนและท้าทายอำนาจประชาชนทุกคราไป

จึงกล่าวได้ว่าคนพวกนี้ไม่สมควรเรียกตัวว่า "สื่อสารมวลชน" ควรเปลี่ยนชื่อเป็น "สื่อสารเผด็จการชน" เพราะพฤติกรรมของพวกเขาเหล่านี้ ไม่ใช่ สื่อสารมวลชนอีกต่อไป แต่เป็นแค่ลิ่วล้อรับใช้เครือข่ายอำมาตย์ผู้ฝักใฝ่เผด็จการแต่เพียงเท่านั้น


จดหมายถึงสมาคมสื่อทุกแขนงแห่งประเทศไทย

เรียนสมาคมสื่อฯ ทุกแห่งในประเทศไทย

เรื่อง ขอความกรุณา แยกแยะ การคุกคามสื่อ กับการวิพากษ์การทำงานของสื่อภาคสนามที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมบางคน

สองสามวันมานี้ ในฐานะประชาชนคนเสื้อแดงคนหนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง กับการออกแถลงการณ์ การออกหนังสือประณาม การเรียกร้องไปยัง คุณยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย

ให้ออกมาห้าม ปราม ปราบ กำหราบ ดุด่า ฯลฯ มิให้ คนเสื้อแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเสื้อแดงในเว็บบอร์ด ต่างๆ ข่มขู่คุกคาม การทำหน้าที่ของสื่อ

ผมในฐานะ คนเสื้อแดงในโลกแห่งเว็บบอร์ดคนหนึ่ง (ซึ่งน่าจะเป็นคู่กรณีโดยตรง) ที่วิพากษ์ วิจารณ์ การทำงาน ของสื่อมวลชน ที่อยู่ในกระแสแห่งการต่อสู้ แยกข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อย่างชัดเจน ในขณะนี้

ขออนุญาต ชี้แจงแสดงความในใจไปถึง นักข่าวภาคสนาม (โดยเฉพาะคุณสมจิตร) และสมาคมสื่อ ต่างๆ ที่ออกมาเรียกร้องในประเด็น ดังกล่าว ดังนี้

1. ขอให้ สมาคมสื่อวิทยุ และโทรทัศน์ และสภาการหนังสือพิมพ์ ต่างๆ ได้กรุณา ทบทวน การทำหน้าที่ของนักข่าวภาคสนาม ในสังกัดของพวกท่านว่า ทำตามจรรยาบรรณของวิชาชีพสื่อ อย่างแท้จริงหรือยัง

2. กรณี คำถามของคุณสมจิตร อันเป็นประเด็น ทอล์คออฟเดอะทาวน์ นี้ เป็นการแสดงคำถามที่ปราศจาก อคติ ความเกลียดชัง และมีส่วนได้ส่วนเสีย กับพรรคการเมือง หรือไม่

(คำถามของคุณสมจิตร..."นายกฯปู คิดจะแก้ รัฐธรรมนูญ เพื่อ อภัยโทษ ให้ทักษิณ ใช่หรือไม่"

เรื่องนี้นายกฯปูเคยตอบไปกว่าสิบๆครั้งแล้ว..."แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เกี่ยวท่านทักษิณ โทษคดีต่างๆก็ยังอยู่ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม"

พอดีดูทีวีช่วงนี้อยู่ เห็นสีหน้าท่านนายกฯปูดูเหมือนเบื่อหรือเซ็ง เพราะพอท่านลงมาพวกนักข่าวก็รุมล้อม คำถามก็ซ้ำซาก วนเวียนเหมือนเดิม ตอบแล้วตอบอีกไม่จบเสียที)


3. รู้สึกแปลกใจหรือไม่ กับพฤติกรรมของนักข่าวภาคสนาม ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทำไม ความรู้สึกของประชาชน จำนวนหนึ่ง ถึงได้รู้สึกเกลียดชังนักข่าวแห่งช่อง 7 สี คนนี้ มากเป็นกรณีพิเศษและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ได้ถึงขนาดนี้

ในฐานะของคนเสื้อแดงที่คลุกคลี รู้จักตัวตนคนเสื้อแดง ในโลกอินเตอร์เน็ท ทั้งในเว็บบอร์ดและในกิจกรรมภาคสนาม ขอยืนยันว่า พวกเรามีวุฒิภาวะ ทางอารมณ์ ของการอยู่ร่วมกันในสังคมมากพอ เราไม่ใช่กลุ่มล้าหลังคลั่งชาติ รักหรือโกรธเกลียดใคร โดยไร้เหตุผล

และที่อยากจะเรียนให้สมาคมสื่อ ทุกสำนักได้ทราบเป็นอย่างยิ่งก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย จนตลอดไปถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณก็ไม่สามารถจะห้าม คนเสื้อแดงได้

การตัดสินใจประณาม วิพากษ์ หาหนทางในการ ตอบโต้ที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้พื้นฐานของการไม่กระทำผิดต่อกฎหมาย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ของพวกเรา

การจะให้ วิญญูชน ยอมรับการทำงานของสื่อ นั้นไม่ใช่ต้องเขียนเชียร์ พรรคการเมือง หรือบุคคลทางการเมือง ที่คนเสื้อแดงชื่นชอบ แต่หากการตรวจสอบนโยบาย การกระทำของผู้มีอำนาจรัฐนั้น มาจากพื้นฐานในวิชาชีพ และจรรยาบรรณ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมรับรองได้เลยว่า คนเสื้อแดงจะไม่แสดงพฤติกรรม ตอบโต้ผ่านหน้าเว็บบอร์ดนั้นอย่างรุนแรงเฉกเช่นที่ คุณสมจิตร แห่งช่อง 7 สี ได้รับอยู่ในขณะนี้

จริงอยู่ สื่อมวลชนมีหน้าที่นำเสนอความจริง และสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของประชาชนในสังคม บางครั้งสื่อเปรียบเทียบตนเองว่าเป็น สุนัขเฝ้าบ้าน แต่หากว่า สุนัขเฝ้าบ้าน กลับเป็นโรคกลัวน้ำ เสียสติ หรือไม่ทำหน้าที่สุนัขเฝ้าบ้านอย่างเที่ยงตรง

จะให้ประชาชน ในฐานะเจ้าของบ้าน เลี้ยงเอาไว้อีกหรือ?

วันนี้ ในฐานะประชาชน ที่มองเห็นปฐมเหตุแห่งความวุ่นวายมาตั้งแต่ต้น ผมขออนุญาตประณามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่า พรรคการเมือง กองทัพ อำนาจที่มองไม่เป็น รวมตลอดถึงสื่อมวลชนในประเทศไทย

ที่มีส่วนร่วมทำให้ความแตกแยกของคนในชาติ ก้าวมาถึงจุดเสียหายแก่ประเทศ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศนี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความวุ่นวายทางด้านการเมืองที่ผ่านมา สื่อมวลชนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง ไม่ว่าการนำเสนอข่าวในทางยั่วยุ ปลุกปั่น สร้างสถานการณ์

กรณีของคุณสมจิตร ผมจะไม่ขอวิพากษ์ใดๆอีก เพราะดูเธอก็ร้อนรน จาก วจีกรรมในการทำหน้าที่ อันได้รับการตอบสนองจาก พี่น้องประชาชนทั่วประเทศอย่างสาสมไปในระดับหนึ่งแล้ว

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระจกสะท้อนการทำงานของสื่อ ในครั้งนี้ คงฉุกคิดให้สื่อได้ทำหน้าที่ โดยปราศจากอคติ ความเกลียดชัง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมาอีก

หวังว่าสมาคมสื่อ คงจะรับฟังและนำไปปรับปรุงการทำหน้าที่ อย่างถูกต้องให้สมกับ สุนัขเฝ้าบ้าน ตามที่พวกท่านได้บอกหลักการทำหน้าที่ของท่านกับสังคม

ขอแสดงความนับถือ

สายลมรัก คนเสื้อแดงในโลกไซเบอร์



จรรยาบรรณหนังสือพิมพ์ และ จรรยาบรรณสื่อวิทยุและโทรทัศน์

1. จรรยาบรรณหนังสือพิมพ์ โดย สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

โดยได้กำหนด "จริยธรรมของสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2510 ไว้ดังนี้

ความรับผิดชอบ (Responsibility) ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์อันชอบธรรมของปัจเจกชน สถาบัน ประเทศชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์ (ตรงกับหลักพุทธศาสนาคือ กิจญาณ)

ความมีเสรีภาพ (Freedom) ได้แก่ เสรีภาพที่มีความรับผิดชอบกำกับ (ตรงกับหลักธรรมในพุทธสาสนาคือ ปวารณา หรือ ธรรมาธิปไตย)

ความเป็นไท (Independence) ได้แก่ ความไม่ตกเป็นทาสของใครทั้งกายและจิตใจ โดยอามิสสินจ้างอื่นใด(ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนาคือ ความไม่ตกเป็นทาสของอกุศลมูล)

ความจริงใจ (Sincerity) ได้แก่ ความไม่มีเจตนาบิดเบือน ผิดพลาดต้องรีบแก้ไข (ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ สัจจะ)

ความเที่ยงธรรม (Impartiality) ได้แก่ ความไม่ลำเอียง หรือความไม่เข้าใครออกใคร (ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ ความไม่มีอคติ 4 ประการ หมายถึง "ฉันทาคติ" ลำเอียงเพราะรัก "โทสาคติ" ลำเอียงเพราะชัง "ภยาคติ" ลำเอียงเพราะกลัว "โมหาคติ" ลำเอียงเพราะหลง)

ความมีน้ำใจนักกีฬา (Fair Play) ได้แก่ การปฏิบัติดีงาม ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ (ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ สุปฏิบัติ)

ความมีมารยาท (Decency) ได้แก่ การใช้ภาษาและภาพที่ไม่หยาบโลนและลามกอนาจาร หรือส่อไปในทางดังกล่าว (ตรงกับหลักพุทธศาสนาคือ โสเจยยะ หรืออาจารย์สมบัติ)

นอกจาก "จริยธรรมของสามาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" แล้ว ยังกำหนด "จรรยาบรรณหนังสือพิมพ์" ไว้อีก 7 ข้อ คือ

การส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ เป็นภารกิจอันมีความสำคัญเหนืออื่นใดสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์

การเสนอข่าว ภาพ หรือการแสดงความคิดเห็น ต้องเป็นไปด้วยความสุภาพ สุจริต ปราศจากความมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตนหรืออามิสสินจ้างใดๆ

การเสนอข่าวต้องเสนอแต่ความจริง พึงละเว้นการต่อเติมเสริมแต่ง หากปรากฏว่าข่าวใดๆไม่ตรงต่อความจริงต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว

การที่จะให้ได้ข่าว ภาพ หรือข้อมูลอย่างใดๆมาเป็นของตน ต้องใช้วิธีการที่สุภาพและซื่อสัตย์

ต้องเคารพต่อความไว้วางใจที่ได้รับมอบหมายจากการปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพของตน

ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยถือเอาสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตน หรือหมู่คณะโดยมิชอบ

ต้องไม่กระทำการใดๆอันเป็นการบั่นทอนเกียรติคุณของวิชาชีพหรือความสามัคคีของเพื่อนร่วมวิชาชีพ



2. จรรยาบรรณสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดย สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

โดยได้ตราประมวลจรรยาบรรณวิชาชีพนักจัดรายวิทยุและโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2538 แบ่งเป็น 5 หมวด คือ หมวดทั่วไป หมวดจรรยาบรรณในการเสนอข่าว หมวดจรรยาบรรณในการแสดงความเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ หมวดจรรยาบรรณในการประกาศโฆษณา หมวดความประพฤติ ในที่นี้จะยกหมวดว่าด้วยการเสนอข่าว มาเป็นหลักในการพิจารณาคือ

ไม่เสนอข่าวและภาพซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเท็จ ไม่ว่าลักษณะใดๆ

ไม่เสนอข่าวและภาพซึ่งทำให้ประชาชนเสียขวัญ เกิดการแตกแยกกระทบกระเทือนความมั่นคงแห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างประเทศ

ไม่เสนอข่าวและภาพลามกอนาจาร ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ไม่เสนอข่าวลือและภาพไร้สาระ ชวนให้หลงเชื่องมงาย

ไม่เสนอข่าวลือและภาพไร้สาระ

ไม่สอดแทรกความเห็นใดๆของตนลงไปในข่าว

ในกรณีคัดลอกข้อความจากหนังสือพิมพ์ หรือหนังสืออื่น ต้องแจ้งให้ทราบถึงแหล่งที่มาของข้อความนั้น

ภาษาที่ใช้ในการเสนอข่าวและการบรรยายภาพต้องสุภาพ ปราศจากความหมายในเชิงเหยียดหยาม กระทบกระเทียบ เปรียบเปรย เสียดสี

ไม่ใช้การเสนอข่าวและภาพเป็นไปในทางโฆษณาตนเอง

ไม่เสนอข่าวและภาพซึ่งขัดกับสาธารณประโยชน์ของประชาชนและสังคมประเทศชาติ

ไม่เสนอข่าวและภาพซ้ำเติม ระบายสี บุคคล องค์กร สถาบัน ซึ่งตกเป็นข่าว

ไม่เสนอข่าวและภาพ ในเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามลัทธิความเชื่อศาสนาใดๆ

พึงให้ความเคารพต่อสิทธิของบุคคล องค์กร และสถาบันอื่นตามกฎหมาย

พึงรับผิดและแก้ไขโดยเปิดเผยและไม่ชักช้าถ้าเกิดความเสียหายแก่บุคคล องค์กร หรือสถาบัน ในการเสนอข่าวผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

พึงละเว้นจากการรับอามิสสินจ้างใดๆ ให้ทำหรือละเว้นการกระทำเกี่ยวกับการเสนอข่าวตรงไปตรงมา

หลักจริยธรรมหรือจรรยาบรรณขององค์กรสื่อที่ยกมาข้างต้นนั้น ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพในการเสนอข่าวสารของสื่อแต่ต้องเป็นไปโดยเคารพกฎระเบียบและไม่ละเมิดผู้อื่น ทั้งยังกำหนดให้สื่อยึดถือประโยชน์แห่งสาธารณะเป็นหลัก มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ให้เกียรติแก่ผู้อื่น

เป็นที่น่าสังเกตว่าหลักจริยธรรมของสมาคมหนังสือพิมพ์ที่ออกมาเมื่อ 44 ปีก่อน(พ.ศ.2510) และจรรยาบรรณวิชาชีพนักจัดรายวิทยุและโทรทัศน์ ที่ตราออกมาเมื่อ 16 ปีก่อน(พ.ศ.2538) ยังคงเป็นสิ่งที่สื่อโดยทั่วไปคำนึงถึงและให้ความสำคัญกันอยู่หรือไม่ หรือคิดไปว่าข้อกำหนดเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนไปโดยนวัตกรรมใหม่ๆ ของสื่อเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันไปแล้ว????????????

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

60> เสียดายเวลาที่ผ่านมา 5 ปีมากๆเลยนะฮ้า



นายกฯยิ่งลักษณ์แก้ปัญหาน้ำท่วมแบบ 2P 2R

เมื่อวาน (20ส.ค.54) นั่งฟัง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหาแนวทางแก้ไขและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวถึง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ว่า จะเป็นอำเภอนำร่องเป็น "บางระกำโมเดล" ในการทำงานรับมือกับสถานการณ์น้ำ

เท่าที่นั่งฟังนายกฯเลคเช่อร์ ให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ปัญหาแบบ 2P 2R แล้ว แสดงให้เห็นว่า นายกฯปู ได้ทำการบ้านมาอย่างดี เพราะได้มีการคิดแนวทางแก้ปัญหามาก่อนที่จะเข้าประชุม ไม่ได้มาด้นสด แบบนายกฯบางท่าน ต้องยกนิ้วให้จริงๆ

นโยบาย 2P 2R ของท่านนายกฯ พีแรก Preparation คือการเตรียมการแก้ปัญหาล่วงหน้า พีที่สอง Prevention คือการป้องกันล่วงหน้า ส่วน อาร์ที่หนึ่ง Response คือการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว และ อาร์สุดท้าย Recovery คือการช่วยเหลือหลังน้ำลด

เห็นวิสัยทัศน์อย่างนี้ ก็ต้องยกนิ้วให้นายกฯปู เพราะเป็นการพิสูจน์กึ๋นการทำงานระดับหนึ่งเชิงรุก ไม่ใช่รอรับรายงาน และปล่อยให้ข้าราชการประจำแก้ปัญหาไป ตามมี ตามเกิด อย่างที่ผ่านมา

คลิกที่ภาพ...ดูภาพขนาดที่ใหญ่ขึ้น

เสียดายเวลาที่ผ่านมา 5 ปีมากๆเลยนะฮ้า
By: นางฟ้านะยะ

เวลาเหมือนสายน้ำไม่ไหลกลับก็จริง

แต่ประเทศไทยนั้น กลับเหมือนอยู่ในน้ำวน มากกว่าสายน้ำที่ไหลไปข้างหน้า

เพราะ 5 ปีกว่าผ่านมานั้น คนไทยกลับมาสู่จุดเดิม และยังถอยหลังไปอีกด้วยซ้ำ

ท้ายสุด เราก็ยังคงได้รัฐบาลจากคนในตระกูลชินวัตรอยู่ดี และทักษิณแม้ไม่ได้เป็นนายกฯแต่ใครๆก็รู้ว่าเขามีส่วนช่วยเหลือน้องสาวในชัยชนะของการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มากก็น้อย

คนไทยเคยคิดบ้างไหมว่า ทำไมเราต้องเสียเวลาไป 5 ปีเพื่อย้อนกลับมาที่เดิม ทั้งๆที่เวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศเราอาจจะเจริญเทียบเท่ากับสิงคโปร์ไปแล้วก็เป็นได้

หากทหารไม่ออกมาทำรัฐประหาร เพื่อหยุดอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยที่กำลังพาประเทศไทยเดินไปข้างหน้าจนประเทศเพื่อนบ้านต่างพากันอิจฉา

แต่ความอิจฉาที่ร้ายแรงที่สุด กลับมาจากคนในประเทศเรากันเอง จนยอมที่จะให้ทหารทำการรัฐประหารเพียงเพราะข้อกล่าวหา 4 ข้อเท่านั้น

หากการรัฐประหารสามารถจะเอาผิดทักษิณได้ อาจจะคิดในแง่ดีได้ว่าเป็นการหยุดประเทศเพื่อขจัดภัยอันตรายที่เกิดขึ้น

กลับกลายเป็นว่า แม้จะใช้อำนาจเผด็จการ ก็ยังคงไม่สามารถเอาผิดได้เหมือนเดิม...

นักวิชาการ องค์กรอิสระต่างๆที่ร่วมในการล้มทักษิณ อ้างว่ามีหลักฐานมากมายสามารถเอาผิดได้ภายใน 7 วันด้วยซ้ำ ล้วนขึ้นมามีอำนาจอย่างเต็มที่กันหมด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างที่เคยคุยเอาไว้

5 ปีที่ผ่านมา บางคดีที่หยิบเอามากล่าวหาว่ามีการทุจริต ศาลกลับพิจารณาว่าไม่ผิดด้วยซ้ำ เช่นคดีกล้ายาง หวยบนดิน ซีทีเอ๊กซ์ ฯลฯ

มีเพียงคดีที่ดินรัชดาเท่านั้น ที่ศาลพิจารณาว่าผิด แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจด้วยว่า แค่เซ็นชื่อให้ภรรยาเท่านั้น ความผิดมันรุนแรงถึงขั้นต้องทำรัฐประหารเชียวหรือ?

ดังนั้น หลังจากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายหลังจากการมีรัฐประหาร พรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็ยังคงเป็นพรรคการเมืองที่ทักษิณหนุนหลังอยู่ดี โดยที่ประชาชนที่ไปลงคะแนนเสียงล้วนแล้วแต่รู้ว่าที่ไปเลือกพรรคพลังประชาชนก็เพราะอยากจะให้ทักษิณกลับประเทศ

จนมาถึงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผลก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พรรคที่สนับสนุนทักษิณก็ยังคงได้รับชัยชนะ และเป็นการชนะที่ขาดลอยอีกด้วย

บอกตรงๆว่า นางฟ้าเสียดายเวลาที่ผ่านไปจริงๆ

ได้แต่หวังว่า บทเรียนใน 5 ปีที่ผ่านมา คงจะทำให้ประชาชนคนไทยตาสว่างขึ้น และเลิกคิดว่าการรัฐประหารนั้นสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองได้เสียที

หวังว่า 5 ปีอันเลวร้ายที่ผ่านมานั้น คงไม่กลับมาเกิดขึ้นกับประเทศไทยอีกครั้งนะฮ้า

ที่บอกว่าประเทศชาติถอยหลังก็เพราะ

1. จากประเทศที่ยาเสพติดถูกกวาดล้างไปแล้ว บัดนี้มันกลับมาระบาดเหมือนเดิม

2. จากประเทศที่สามารถทำงบประมาณสมดุล กลายเป็นกู้เงินมากเป็นประวัติการณ์

3. จากประเทศที่เป็นมิตรกับทั่วโลก กลายเป็นประเทศที่ไม่มีใครคบหา แม้แต่กัมพูชายังไม่ให้เกียรติประเทศเราเลย

4. จากประเทศที่กำลังจะเป็นผู้นำอาเชี่ยน กลายเป็นประเทศ ที่เป็นตัวปัญหาของอาเชี่ยน

เพียงแค่นี้ มันฉิบหายมากกว่าคดีที่ดินรัชดาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเท่าแล้วนะฮ้า


By: เห็ดหอม ที่ดินนี้ เดิมเป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง กองทุนฟื้นฟู ยึดมาจากบริษัทสินทรัพย์ที่ล้มช่วงปี 2540

พ.ศ.2546 คุณหญิงซื้อได้ 772 ล้าน (เนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา) ... บอกว่ากองทุนขาดทุนยับเยิน

ไปยึดคืนมา ... ต้องจ่ายเงินไปประมาณ 1,300 ล้านบาทเพื่อเอาที่ดินคืน

พ.ศ.2554 ขายได้ 1,815 ล้าน (เนื้อที่ 33 ไร่ 81 ตารางวา) ... บอกว่าขายได้กำไรคงน่าเกลียดน่าดู...

ข้อสังเกต: พ.ศ.2546 ขายให้คุณหญิง เนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา เป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง // พ.ศ.2554 ขายให้ศุภาลัย เนื้อที่ 33 ไร่ 81 ตารางวา แก้กฎหมายให้สร้างอาคารสูงได้

ถามจริงๆเหอะครับ เนื้อที่ก็มากกว่า 11 ไร่ และถ้าไม่แก้กฎหมายเอื้อประโยชน์แก่ กลุ่มนายทุน ให้สร้างอาคารสูงบริเวณตรงนั้นได้ ... จะขายได้มั้ยครับในราคาเกือบ 2 พันล้าน ????

พ.ศ.2546 กับ พ.ศ.2554 ค่าของเงินมันต่างกัน ... ตอนนั้นราคาทองบาทละ 6-7พัน แต่ตอนนี้บาทละ 2หมื่น5

มองมุมไหนก็ขาดทุน แถมยังเสียค่าโง่เพิ่มไปอีก ... ประเทศชาติไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เสียทั้งคนทำงานดีๆ เสียทั้งเงิน เสียทั้งโอกาสความก้าวหน้าของประเทศ แถมโดนหลอก ...


By: ตาซัง ถือว่า 5 ปี ที่ผ่านมาแลกกับการตาสว่างอย่างทั่วถึงล่ะกันนะ

By: นางฟ้านะยะ ถ้ามองโลกในแง่ดี มันก็โอเค

เสียอย่างเดียวคือ คนไทยลืมง่าย

ยกตัวอย่างตอนพิษต้มยำกุ้ง ที่ทำให้คนไทยหดหู่กันทั้งประเทศ

ถ้าไม่ได้ทักษิณ ปล่อยให้ ปชป. บริหารประเทศ ไม่รู้อีกกี่ชาติจึงจะเป็นไทได้

รัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็เห็นๆกันอยู่ว่า ปชป. นั้น"ดีแต่พูด"กับ"สร้างภาพ" และเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยุคนายชวนแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นเอาตอนนี้

พอเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องจนมีอนาคตสดใส ก็ออกมาถล่มทักษิณโดยไม่ฟังถึงเหตุและผล

นิสัยคนไทยนั้น นอกจากจะลืมง่ายแล้ว ยังไม่อยากเห็นใครเก่งเกินกว่าตัวเองอีกด้วย

คนดีและเก่ง เขาจึงเอือมระอากับประเทศไทย จนไม่อยากจะเข้ามาทำงานทางด้านการเมืองยังไงหละฮ้า

คลิกที่ภาพ...ดูภาพขนาดที่ใหญ่ขึ้น

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

59> ผมโคตรสงสัย...ทำไมทักษิณเขาบินไปไหนมาไหนได้ พ่อแม่เมิงจะชักตายหรือครับ

ข่าวความเคลื่อนไหวอื่นๆ เชิญที่เว็บนี้ครับ....


ผมโคตรสงสัย...ทำไมทักษิณเขาบินไปไหนมาไหนได้ พ่อแม่เมิงจะชักตายหรือครับ
By: สายลมรัก

"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

"ปูเขาโคลนนิ่ง วิธีทำการทำงานผมมานะ แต่เขาจะแตกต่างกับผมตรงรอบคอบกว่า"

ทักษิณ เป็นพี่ยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์เป็นน้องทักษิณ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิยาย

เรื่องทักษิณโดนสั่งจำคุกเนี่ย จะให้เขียนมั้ยว่า มันพิลึกกึกกือขนาดไหน คนขายไม่ผิด คนซื้อไม่ผิด คนยินยอมให้เขาซื้อขายกันผิด

นักกฎหมาย ระดับหัวหน้าคณะ ผู้พิพากษา แอบกระซิบบอกผมว่า "สายลม แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นการสั่งจำคุกแบบไม่ต้องการให้อยู่ในประเทศนี้" ในแบบเรื่องการเมืองเต็มๆ

ความสัมพันธ์ ระหว่างคุณทักษิณกับพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ว่าประชาชนไม่รู้ คนเสื้อแดงรักบ้าง สงสารบ้าง เฉยๆบ้างกับคุณทักษิณ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร

เพราะสิ่งที่เขาคาดหวังว่า...พรรคเพื่อไทยจะทำงานให้เขา ตามสัญญาที่บอกไว้เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

ทักษิณ จะบินไปสอนหนังสือ จะบินไปเป็นทูตช่วยการค้าขายให้ เป็นการทำให้ประเทศไทยดีขึ้น แล้วมันเสียหายกับประเทศนี้กงไหน ? ? ?

ผมว่าดีกว่านายกษิต ที่หลายประเทศเขาเบือนหน้าหนี เวลาไปเยือน

นี่ถ้าเขาไม่ถือว่าเป็น ตัวแทนของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เขาคงถีบกระเด็นออกไปนอกประเทศแล้ว


ยิ่งฟังตรรกะของพันธมิตร ผมแม่ม...โคตรมึน มันบอกว่าทักษิณเป็นนักโทษแล้ว ห้ามรัฐบาลช่วย ควรช่วยวีระ กับราตรีก่อน เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด

ทั้งๆที่ก็โดนสั่งจากศาลของทั้งสองประเทศเหมือนกัน (โคตรฮา กับวิทยุของพันธมิตรจริงๆ)

สื่อบางค่าย กับนายอภิสิทธิ์ ก็พยายามพร้อมใจกันจะเป็นพยาธิ ไปอยู่ในอุจจาระของทักษิณ ทักษิณตดปุ๊บ พรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวลชนบางค่าย ก็วิ่งไปดมดากคุณทักษิณ ว่ากินอะไรไปบ้าง หอมมั้ย กลิ่นอะไร แล้วก็เอามาเป็นประเด็น


น้ำท่วม เศรษฐกิจ การทำนโยบายให้เป็นไปตามที่สัญญา เป็นเรื่องสำคัญ

กว่า 15 ล้านเสียง กับ 265 ส.ส. ที่ประชาชนคนไทยเลือกเข้ามาทำหน้าที่แทนหนะ...

ขอประทานโทษ...เขารู้ว่านายกฯปู เป็นน้องสาวของทักษิณ

การเลือกคุณปูเป็นนายกฯ ก็คือเลือกทักษิณให้ทำงานให้ด้วย ฉะนั้นเรื่องประเทศไหน ถูกขอความร่วมมือในการให้เข้าประเทศ จึงเป็นเรื่องธรรมดา

ขนาดเยอรมัน ฟินแลนด์ ยังแอ่นระแน้ออกมาเป็นประเทศแรกๆ

นี่ไม่นับประเทศต่างๆ ที่เขาไม่สนประเทศทร้วยส์ ปล่อยให้ทักษิณพำนัก บินไปทำธุรกิจ อีกเป็น สิบๆ ประเทศ ในตอนที่เราได้ กุ๊ยส์ เป็น รมต.ต่างประเทศนะ

ทำใจให้เป็นปกติกันเถิด แม่จำเนียร...อย่าได้เอาเรื่องกระพี้ มาเป็นแก่น บอกตรงๆ ชักรำคาญ

ทักษิณจะไปไหน ทักษิณจะทำอะไร ออกมาร้องโหยหวน เป็น "เปรต" ขอส่วนบุญไปได้

ทำไม การเดินทางไปไหนมาไหน พ่อแม่เมิงจะลมสว้านแดรกตายหรือ...? ?

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็บอกมา...


ประเทศไทยโชคดีที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ ยิ่งลักษณ์ นะฮ้า
By: นางฟ้านะยะ

อิอิ...นางฟ้าไม่ใช่ป๋า แต่ขอยืมคำพูดของป๋ามาใช้บ้าง

แม้เครดิตนางฟ้าจะไม่เทียบเท่ากับป๋า แต่รับรองว่านางฟ้ามีเหตุผลมารองรับคำพูดมากกว่าป๋าแน่นอน

จะไม่เรียกว่าโชคดีได้อย่างไร ในเมื่อเราได้นายกฯที่ขยันขันแข็ง ทำงานอย่างเดียวโดยไม่คิดจะสร้างภาพ ขนาดวันอาทิตย์ยังเช่าฮ.โดยใช้เงินส่วนตัวเพื่อไปดูปัญหาที่ประชาชนเดือดร้อนทั้งๆที่ยังไม่ได้แถลงนโยบายด้วยซ้ำ

ยังไม่พอ คนไทยยังโชคดีอีก ที่ได้รับการช่วยเหลือจากนายมาร์คอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ตอนที่นายมาร์คเป็นผู้นำ กว่าจะเดินทางไปช่วยเหลือหรือไปแจกของ พิธีกรข่าวเอกชน ยังไปช่วยเหลือประชาชนได้ก่อนเลย เท่ากับว่าประชาชนได้รับการดูแลจากนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างแข็งขัน

มีรัฐบาลที่ไหนบ้าง ที่สามารถทำให้ฝ่ายค้านมาทำผลงานแข่งกับรัฐบาลเหมือนกับรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ในตอนนี้ และพวกองค์กรอิสระก็เริ่มโผล่ออกมาจากรูทีละตัว หลังจากกบดานจำศีลมา 2 ปีกว่า ทำให้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้มีการตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง ประชาชนจะได้มั่นใจว่า รัฐบาลมีการทำงานที่โปร่งใสจริงๆ

แบบนี้จะไม่เรียกว่าคนไทยโชคดี แล้วจะเรียกว่าอะไรได้หละ ชิมิฮ้า

16 สิงหาคม 2554 @ช่อง3 By: ดาบปลายปืน













By: ชาดสิริ
ไม่อยากใช้คำว่าสวย เพราะทุกสิ่งมันเลยข้ามคำว่า"สวย"ไปแล้ว แต่ทั้งหมดนี้คือความงามที่เปล่งออกมาจากภายใน ความฉลาด ความบริสุทธิ์ ที่ดูงดงามดุจประกายที่เปล่งออกมา เพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะได้รับการอบรมกล่อมเกลาให้ออกมามีจิตใจงาม มองโลกในแง่บวก ทั้งที่พ่อแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวประกอบด้วยพี่ๆเลี้ยงน้องมาดี

ไม่เหมือนคนบางคน เกิดมามีรูปเป็นทรัพย์ นับวิชา(มีความรู้) มีชาติตระกูลดี พ่อแม่อยู่ครบ แต่สันดานเลว มารยาสาไถย โกหกพกลมเป็นหัวใจ วาจาก้าวร้าวเชือดเฉือน จิตใจต่ำ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น น่าอนาถ...หมดบุญแล้วจะรู้สึก ตอนนี้ก็ผวาด้วยเสียงข่มขู่จากผู้คน เราไม่เชื่อหรอก อย่ามาเรียกร้องความสนใจเลย ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ตอนนี้ ปชช.โฟกัสไปที่ นรม.ปู ก็เลยออกมาเรียกร้องความสนใจด้วยการโกหกว่ามีคนข่มขู่จะทำร้าย หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาหัวตัวเองซะมั่ง ว่าหมดทั้งค่าและราคา ไม่มีใครเขาอยากไปยุ่งกับคุณหรอก เพราะมันเหมือนเอาไม้สั้นไปรับขี้!!!

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

58> แม่จ๋า!!! แม่ผู้ที่แสนดี หนูรักแม่ค่ะ...



คลิกที่ภาพ...ดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

แม่จ๋า!!! แม่ผู้ที่แสนดี หนูรักแม่ค่ะ...
By: 'ปวดตับเพราะตั้งชื่อ' เว็บ pantip 8ส.ค.2553


ตอนที่ 1 เหลือแค่หนูกับแม่

เริ่มจากตอนเด็กๆ พ่อค่าแรง 1 บาท ทำงานรับจ้างและตอนดึกๆก็ไปจับปลามาเป็นอาหารถ้าเหลือก็จะเอาไปขายตัวละ 25 สตางค์

แม่ทำงานสานตะกร้า สานเข่งขาย ชีวิตของพ่อแม่อยู่อย่างไม่ลำบากมากมาย

จนกระทั่งแม่คลอดเราออกมา เงินทองที่หามาเริ่มไม่พอใช้ พ่อต้องทำงานหนักขึ้นเงินทองที่หามาได้ก็หมดกับค่ากินในครอบครัว

ส่วนเงินขายสานตระกร้าก็หมดกับค่ารักษา เพราะเราเป็นคนป่วยง่ายมาก

แต่เหมือนไฟไหม้บ้านจู่ๆวันนึงพ่อที่เป็นกำลังหลัก เหมือนช้างเท้าหน้าที่คอยหาเงินมามาใช้จ่ายครอบครัวตายลงไป

พ่อตายเพราะจมน้ำตายตอนหาปลา คงเป็นเพราะพ่อทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ทำให้พ่อเป็นลมระหว่างจับปลา

พอรุ่งเช้าแม่รู้ แม่ร้องให้ การจากไปของพ่อทำให้แม่ทำใจอยู่นาน ระหว่างที่แม่ทำใจแม่ก็ป่วย

แม่เห็นเราลำบากจึงทำให้แม่พยายามที่จะลุกขึ้นสู้ต่อ แม่พูดอยู่เสมอๆว่าแม่ต้องอยู่ให้ได้

ตอนนั้นจำได้ถามแม่ว่าพ่อไปไหนหรอแม่

แม่บอกว่าพ่อไปทำงานไกลมากๆ ตอนนี้เหลือเีราอยู่กันแค่หนูกับแม่


ตอนที่ 2 หนูโกรธแม่

พอพ่อตายภาระทุกอย่างก็ตกอยู่กับแม่ ตอนกลางวันแม่จะไปหาขยะมาขาย ตอนกลางคืนก็จะสานตะกร้าสานเข่งขาย

แม่มักจะทำข้าวต้มกับไข่ ถ้าวันไหนมีเงินหน่อยก็จะมีหมู มีไก่บ้าง

เพื่อนๆมักจะล้อเราว่าเป็นลูกคนเก็บขยะ แต่ไม่เคยถือ เพราะเรารักแม่มากๆ

แต่มีอยู่วันนึง วันนั้นอยากกินหมู แต่แม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อให้ ทำให้ได้แต่ไข่ทอด

เลยงอนแม่ไม่ยอมกินข้าว แต่แม่ก็ไม่แตะไข่ทอดเลย

เหมือนแม่รู้ว่าเราจะหิวตอนดึกก็เก็บข้าวกับไข่ทอดไว้ให้

วันนั้นกินจนหมดจานโดยที่แม่มองเรายิ้มไปมองไปเหมือนทุกวัน

แต่ตอนดึกปวดท้อง ก็ลุกมาเข้าห้องน้ำเห็นแม่แอบกินหมูแดงกับข้าวเหลือๆ ในใจก็นึกโกรธแม่ว่าทำไมต้องแอบมากินไม่แบ่งหมูให้กินเรากินบ้าง

โกรธแม่ไม่คุยกับแม่หลายวันเลยละ

แต่ตอนหลังก็รู้ว่าเป็นกับข้าวเหลือๆที่แม่เก็บมาจากขยะ ที่บ้านอื่นที่อยู่ในถุงก๊อบแก๊บ

แม่จะทำกับข้าวใหม่ๆให้เรากินอยู่เสมอ แต่แม่กลับกินกับข้าวที่เก็บมาจากถังขยะ

เรารู้ความจริงก็ได้แต่นั่งร้องไห้ แต่ไม่กล้าขอโทษที่โกรธแม่


ตอนที่ 3 หนูขอช่วยนะคะ

เมื่อตอนเล็กๆ แม่มักสอนเสมอๆ ให้เราตั้งใจเรียนหนังสือจะได้โตมาเป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ แต่ด้วยความเป็นเด็กเลยไม่เข้าใจว่าจะเรียนไปทำไม เมื่อกลับมาบ้านจึงขี้เกียจทำการบ้านหาเรื่องอู้จึงขอแม่ชวนสานเข่งสาน ตะกร้า

แม่ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะเห็นว่าเราอยากช่วยเหลืองาน แต่แม่บอกให้ทำการบ้านเถอะตั้งใจเรียน เราก็ดื้ออยากช่วยแม่

แม่จับมือเราสอนสานตะกร้า มือของแม่ทั้งแข็งทั้งสาก มีแผลมากมายเป็นแผลที่เกิดจากวัสดุที่ใช้ทำตะกร้าบาด แข็งเพราะต้องทำซ้ำๆจนมือพอง เราแค่ได้ลองทำได้ไม่กี่นาทีมือเป็นตุ่มใสๆแล้ว

กว่าแม่จะได้เงินมาให้เราซื้อข้าวแต่ละมื้่อแม่ต้องทนเจ็บขนาดไหนกันนะ จึงคิดได้ว่าต้องตั้งใจเรียน โตไปจะได้ทำให้แม่ไม่ต้องลำบากแบบนี้อีก


ตอนที่ 4 จักรยานคันแรก

เมื่อตะกร้าของแม่เริ่มมีคนรู้จักก็มีคนขอสั่งซื้อไปขายเป็นจำนวนมากๆ ก็เลยไม่ต้องไปเก็บขยะขายแล้ว แต่แม่ก็เหนื่อยมากกว่าเดิมที่จะต้องสานตะกร้าจำนวนมากๆ เมื่อเลิกเรียนและทำการบ้านเสร็จจึงมาช่วยแม่สาน ถึงแม้มือจะเจ็บแต่เมื่อเทียบกับแม่แล้วมันไม่ได้เสี้ยวเดียวของที่แม่ทำมา ทั้งชีวิตเลย

ด้วยความเป็นเด็ก เมื่อเห็นเพื่อนๆมีจักรยานก็เลยอยากมีบ้าง แต่ไม่กล้าขอแม่เพราะรู้ว่าครอบครัวเรากว่าจะหาเงินมาได้แต่ละบาทต้องนั่งหลังคดหลังแข้งสานตะกร้าไม่รู้กี่ใบ แม่มองตาเราก็รู้แล้วว่าเราต้องการอะไร

แม่เอาเงินไปซื้อจักรยานมาเพื่ือจะใช้ไปส่งตะกร้าด้วย และให้เราปั่นเล่นด้วย ช่วงที่ได้จักรยานมาใหม่ๆ ตื่นเต้น ดีใจ กลับมาจากโรงเรียนและรีบทำการบ้าน เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะขอเอาจักรยานไปปั่น

เห็นคนอื่นหลับตาปล่อยมือปั่นจักรยานได้ ก็เลยทำบ้าง แต่พลาดทำจักรยานตกลงคูน้ำ พยายามจะเอาขึ้นมาแต่แบกขึ้นมาไม่ไหว ไม่กล้ากลับบ้านกลัวแม่ด่า

พอมืด แม่ก็ออกตามหาเรา เมื่อแม่เจอเราแม่วิ่งเข้ามากอด ถามเราว่าเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหน โดยที่ไม่สนใจจักยานเลย

เราบอกว่าจักรยานมันตกลงคูแล้ว

"ดีแล้วที่ลูกไม่เป็นอะไร ถ้าลูกเป็นอะไรไปแม่คงอยู่ไม่ได้แน่ เพราะลูกเป็นแก้วตาดวงใจของแม่"


ตอนที่ 5 รับปริญญา

เมื่อก่อนแถวบ้านนอกไม่มีมหาวิทยาลัย แม่จึงส่งมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อาจเป็นเพราะอยู่ที่นี่ได้แต่เรียนหนังสือ เที่ยวตามเพื่อนจนลืมความลำบากของที่บ้าน

พอถึงวันรับปริญญา แม่เดินทางมาเพื่อมาดูเรารับปริญญา แม่เรายิ้มทั้งวัน เราก็สนใจเพื่อนที่ี่จบมาด้วยกัน เอาเงินซื้อของให้เพื่อน และใช้จ่ายสิ้นเปลืองมากมายวันนั้น แต่แม่ไม่ห้ามเราเลย

จนกระทั่งเราเสร็จพิธีรับปริญญาบัตรก็ประมา๊ณ 3-4 ทุ่มได้ เรามาหาแม่เห็นแม่เรากำลังกินข้าวที่แม่ห่อมา

"ทำไมแม่ไม่ซื้อข้าวแถวนี้กิน" เป็นคำถามแรกที่เราถามแม่และจำได้จนทุกวันนี้

"แม่เอาเงินมาหาลูกหมดแล้ว"

เราเอาเงินซื้อของให้เพื่อน เอาเงินไปใช้จ่ายให้ตัวเองมีความสุขทั้งที่แม่เป็นคนหามาจนลืมถามแม่ว่ามีเงินไหม

วันนั้นเรารู้สึกผิดและได้แต่ร้องไห้...

"อย่าร้องไห้นะลูกแม่ วันนี้ต้องเป็นวันที่หนูมีความสุขที่สุดในชีวิตสิ"


ตอนที่ 6 ลูกคนแรก

พอเราเรียนจบแม่ก็หมดภาระ และวุฒิป.ตรี สมัยนั้นถือว่าสูงมาก จึงได้งานไม่ลำบาก เราทำงานก็เจอคนที่ดีๆ และแต่งงานมาได้สัก 3 ปี แม่บ่นว่าอยากเห็นหลาน แต่เราคิดว่ายังไม่พร้อม ไหนจะผ่อนบ้านให้แม่ ผ่อนบ้านตัวเอง เราไม่อยากเป็นเหมือนแม่ที่จะต้องให้ลูกลำบาก อยากจะให้อะไรพร้อมกว่านี้ก่อน

เราบอกแม่ว่ายังไม่พร้อม รออะไรให้มันพร้อมกว่านี้ก่อน แม่บอกว่าจะรอให้แม่ตายก่อนรึไงค่อยจะมีหลาน เราไม่ทันฉุกคิดว่า สิ่งที่แม่พูดและสิ่งที่แม่ทำมักจะมีความหมายเสมอ เราได้แต่คิดว่าคนแก่คงอยากอุ้มหลานไวๆ

จนเราทนแม่ขยั้นขะยอไม่ไหว ก็เลยโอเคๆมีลูกก็ได้ ตอนที่เราท้องแม่เดินทางมาหาบ่อยมาก เราอยากกินอะไรแม่ก็จะหามาให้กิน จนเราทำงานบ้านไม่ไหว แฟนจึงชวนแม่เรามาอยู่ด้วย

แม่จะตื่นแต่ 04.00 น. ทำกับข้าวให้แฟนเรากินก่อนไปทำงาน และเตรียมกับข้าวให้เรากิน จนเราคลอดลูก และลูกของเราโต แฟนเราชวนแม่เราย้ายมาอยู่บ้านนี้เลย เพราะแฟนบอกว่าแม่ของเราก็เหมือนเป็นแม่ของเขาอีกคนหนึ่ง

แม่ไม่ยอมแม่บอกอยู่บ้านแม่สบายใจกว่า


ตอนที่ 7 แม่เป็นมะเร็ง

พอลูกเราโตได้ 5-6 ขวบ แม่เริ่มมาหาเราน้อยลง จนเราต้องลงไปเยี่ยมแม่เองเพราะเป็นห่วงกลัวแม่จะเป็นอะไรไป เราเห็นสีหน้าแม่ไม่ค่อยดี เราถามแม่แม่ก็ฝืนใจแข็งตอบว่าไม่เป็นอะไร

แถวบ้านนอกคนแถวบ้านมักจะรู้ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ใครไปหาหมอ เราจึงไปถามคนข้างบ้าน เขาบอกว่าแม่บ่นเจ็บท้องเจ็บหน้าอกมานานแล้ว เราเลยขอให้แม่ไปหาหมอ แต่แม่เราดื้อไม่ยอมไป เราเลยบอกงั้นเราจะไม่มาหาแม่แล้ว แม่ถึงยอมไป

เราพาไปหาหมอ แม่บอกอาการว่าปวดแสบปวดร้อน แถวท้องและหน้าอก หมอก็เลยบอกว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน ให้กลับบ้านแล้วเอายามาให้ทานชุดนึง แต่พอกินหมดชุดอาการแม่ก็ไม่ดีขึ้น

พอไปหาหมอใหม่อีกรอบ หมอบอกแม่ว่าแม่กินข้าวไม่ตรงเวลาอาการเลยไม่ได้ดีขึ้น จึงให้ยาเพิ่มมากอีกชุดและให้กลับบ้านใหม่ แต่กินหมดชุดที่สองก็ยังไม่หาย หมอเลยทำการตรวจโดยให้แม่กลืนแป้ง และสอดท่อเข้าไปส่องในกระเพาะ พบว่ากระเพาะเป็นปรกติ แค่มันแดงๆ ก็สรุปว่าเป็นกรดไหลย้อนเหมือนเดิม

แต่รักษายัังไงก็ไม่หาย หมอจึงคิดว่าไม่น่าจะใช่โรคกระเพาะ หมอจึงแนะนำให้ไปตรวจตับแต่ถ้าตรวจที่โรงพยาบาลค่าใช้จ่ายจะเยอะมาก หมอจึงแนะนำให้ไปที่ศูนย์มะเร็ง

แม่ดื้อจะทำยังไงก็ไม่ยอมไป เพราะแม่กลัวรู้ว่าแม่เป็นโรคอะไรแล้วเราจะเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงาน จนกระทั่งแม่จุกและแน่นท้องหนักขึ้นจนกิินอะไรไม่ค่อยได้ จนแม่ผอมลงมาก

เราจึงบอกแม่ "หนูมีแม่แค่คนเดียวถ้าแม่หนูเป็นอะไรไป หนูจะอยู่ยังไง" ตอนนั้นเราร้องห่มร้องไห้เพราะเป็นห่วงแม่ ไม่รู้ร้องไห้นานเท่าไหร่ จนแม่ยอมไป

พอไปตรวจที่ศูนย์มะเร็ง ก็ตรวจโดยใช้กล้องส่องเหมือนเดิม และก็สรุปว่าเป็นกรดไหลย้อน ช่วงนั้นเราลงมาหาแม่ทุกๆสิ้นเดือน เราเห็นอาการแม่แย่ลง เพราะกินข้าวน้อยลงทุกครั้ง บางทีเราสังเกตเห็นแม่นอนเอามือกดท้อง

เราจึงลองพาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล พอหมอตรวจแล้วไม่พบอะไร หมอจึงขอทำ CT SCAN แต่ตับ ไต ไส้พุง ทุกอย่างเป็นปกติ แต่มีน้ำและพังผืดในกระเพาะ

เราจึงบอกแม่ไปโรงบาลเอกชนกัน แม่บอกว่าโรงบาลเอกชนค่ารักษามันแพง แต่เราไม่สนใจแล้วว่าค่ารักษาจะเท่าไหร่ และแฟนเราก็เป็นคนบอกให้เราพาไปโรงบาลเอกชนด้วย จึงไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แม่เรามือกุมท้องตลอดเวลา หมอบอกเราว่าแม่อาจเป็นมะเร็ง จึงขอเอาเนื้อเยื่อไปตรวจ

หมอนัดมาทำ CT ทุก 15 วัน มาหาหมอได้และ 1 เดือนให้หลังหมอฟันธงว่าแม่เป็นมะเร็ง เราถามว่าขั้นไหน หมอบอกว่าเป็นมากมันลามไปหมดแล้วทั้งตับไต ไส้พุง ม้าม กระเพาะ แต่มีน้ำใน 3/4 และมีพังผืดในกระเพาะ อาจอยู่ได้ไม่ถึง 4 เดือน


ตอนที่ 8 หนูรักแม่ค่ะ(จบ)

หลังจากพบมะเร็งแม่เราก็พยายามรักษาและอยู่มาได้ 8-9 เดือน และแม่เริ่มเดินไม่ไหวจนแม่ต้องนั่งรถเข็นไปโรงพยาบาล ระยะหลังๆแม่ลุกไม่ไหวจนต้องนอนโรงพยาบาล เราเลิกงานก็จะมาหาแม่ก่อน จนแม่ไล่กลับไปให้ดูลูกๆ

ตอนนี้แม่เรากินอะไรไม่ได้เลย กินอะไรก็อ๊วกตลอด อาหารที่เขาบอกว่าคนเป็นมะเร็งกินได้เราก็เอามาให้แม่กิน แต่ก่อนกินเราถามหมอก่อน แม่เริ่มไม่ฉี่ไม่อึ เพราะกินอะไรไม่ได้แล้ว ผอมลงมากเหลือน้ำหนักไม่ถึง 20 กิโล ไตแม่เริ่มไม่ทำงาน หมอบอกว่าต้องฟอกไต จะให้เจาะคอหรือขาหนีบดี แม่บอกเจาะก็เจาะ เจาะที่ไหนก็ได้ หมอบอกเจาะที่ขาหนีบละกัน

แม่อ๊วกตลอดเวลา แม่อ๊วกครั้งสุดท้ายเหม็นมาก จนลูกเราเขาอยู่ในห้องด้วยไม่ไหวต้องออกไปนอกห้อง

วันสุดท้ายที่เจอแม่เราไม่รู้นึกยังไงหยุดงาน เรานั่งคุยกับแม่เรื่องตอนเราเล็กๆ จนกระทั่งก่อนท่านจะเสียหมอบอกให้พาญาติๆมาให้หมดไม่น่าจะอยู่เกินเช้า วันนั้นเราคุยกันเรื่องตอนเรายังเล็กๆ เราบอกรักแม่ตลอดเวลา แม่เรายังพูดเรื่องตลก บอกว่าใครจะทำกับข้าวให้แกกินก่อนไปทำงาน วันที่เราไปห้างใครจะคอยอุ้มดูลูกให้แก วันที่เรากลับดึกใครจะคอยกล่อมลูกแก หลังวันแม่แกจะเอาพวงมาลัยไปไหว้ใคร วันครบรอบวันตายของพ่อแก ใครจะเตรียมของให้แกทำบุญ วันพระใครจะให้ที่ให้แก

วันนั้นเราบอกรักแม่ตลอดเวลาที่แม่พูดอะไรเสร็จ เราไม่อยากให้แม่เป็นอะไรไป

หมอบอกว่าถ้าคนไข้ปวด ให้พยาบาลฉีดมอร์ฟีน ตอนนั้นประมาณตี 2 แม่ตื่นขึ้นมา เราถามแม่ปวดหรอ แม่บอกไม่ปวด แม่บอกแม่อยากนั่ง อยากพลิกซ้ายพลิกขวา เราคุยและช่วยแม่ได้พักนึงแม่ก็หลับตาลง และหัวใจหยุดเต้น เรากุมมือแม่ไว้แน่น...

แม่บอกแฟนเราว่าดูแลลูกและหลานฉันให้ดีๆนะ

แม่บอกขอบคุณพ่อแม่ของแฟนเราที่ดูแลเราดี และไม่รังเกียจที่พวกเราจน

แม่เรากอดเรา แฟนเรา ลูก พระและดอกไม้

พวกเราร้องไห้ตลอดเวลา จนกระทั่งแม่อ๊วกเป็นสีดำ-เทา 3 ครั้ง แต่แม่เราไม่เคยร้องไห้เลย

แม่เราบอกรักเราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากไปอย่างสงบ

ต่อไปนี้เราจะกราบใคร ต่อไปนี้เราจะบอกรักใคร เราน่าจะบอกท่านรักท่าน กราบท่านตั้งนานแล้ว ไม่ใช่วันสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากไปอย่างนี้

...แด่แม่ผู้ที่แสนดี หนูรักแม่ค่ะ...


จงกตัญญูต่อท่านเมื่อท่านมีชีวิตอยู่...ถ้าคุณสามารถหันกลับมาดูแลพ่อแม่ทัน

ทำอะไรให้ท่านในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่...จะเป็นผลบุญกุศลอันสูงสุดครับ


'อุบลวรรณ พงษ์สวัสดิ์' คุณแม่ผู้ให้ชีวิต 'Thanawut' ภาพนี้ท่านอายุ 43 (2518) ถ้ายังอยู่ปีนี้ 79 ส่วน'Thanawut' 27พ.ค.54 เต็ม 64 วันนี้ ขอรำลึกถึง'แม่อุบล'ของลูกๆ...เริ่มต้นท่านเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนเอกชน เป็น'ครูอุบล'ของลูกศิษย์ลูกหามากมาย ลาออกไปเป็น guide บ.ทอมมี่รับทัวร์ทหารสงครามเวียดนามที่มาพักร้อนในเมืองไทย ตอนนั้นถ้าได้ดูทีวีถ่ายทอดสดมวยจากเวทีราชดำเนินจะเห็นภาพ'แม่อุบล'ตัวเตี้ยๆอ้วนจ้ำหม้ำยืนชี้มือชี้ไม้ปากพูดอธิบายไม่หยุดให้ลูกทัวร์ฝรั่งฟัง และสุดท้ายของชีวิตท่านเป็น operator โรงแรมใหญ่แถวๆราชประสงค์ เป็นเพื่อนเป็น'พี่อุบล'ของน้องๆในที่ทำงาน ท่านเสียชีวิตด้วยความดันโลหิตสูงที่ รพ.รามาธิบดี