PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

69> ระหว่าง นายกฯอภิสิทธิ์ กับ นายกฯยิ่งลักษณ์ ใครควรถูกตำหนิมากกว่ากัน

@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 01 คุณปูครับ...ปรับเปลี่ยนงาน ปชส.ของรัฐบาลและ ศปภ.ได้แล้ว
@ Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 77 ดูคลิปวีดีโอชัดๆ "นายกฯยิ่งลักษณ์" ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่ท้อ(ค่ะ) ไม่ร้องไห้ ... ต้องเข้มแข็ง
@ หลังน้ำลด แนะนายกฯปูจัดให้หนัก "เคลียร์บิล" ยกเครื่อง
@ 03 สองเขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ"หมื่นล้านคิว" มาจากไหน? ใครวางงาน?





นายกฯของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน!!!

เห็นภาพ เห็นข่าวท่านนายกฯปู ลงพื้นที่คลอง 9 ใช้"สองมือเปล่าๆ"ที่มีสิบนิ้วนำหน้า ไหว้ขอร้อง เจรจากับชาวบ้านด้วยเหตุด้วยผล จนในที่สุดชาวบ้านก็ยอมให้ขุดเจาะถนนใช้ชุมชนของเขาเป็นทางผ่านของน้ำ

บอกตามตรงว่า น่าชื่นชม ชื่นใจมากๆ นี่แหละครับ "นายกฯของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" โดยแท้จริง นายกฯที่มาจากฉันทานุมัติของประชาชน เขาต้องฟังเสียงประชาชน พูดคุยกับประชาชนด้วยเหตุด้วยผลแบบนี้ เพราะท่านนายกฯเชื่อว่า คนทุกคน มีเหตุ มีผล และสามารถพูดคุยทำความเข้าใจกันได้ เรื่องนี้จึงจบลงด้วยความงดงาม ยินยอมพร้อมใจของทุกๆฝ่าย...



คนที่เอาเชื้อโรคมาปล่อย กับหมอที่รักษาช้า ใครควรถูกตำหนิ???
By: RedShirt Revolutionist

1. รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์: 17เม.ย.2554 (ดูช่วงที่ 2 อภิสิทธิ์คิดว่าจะเกิดภัยแล้ง)

ช่วงที่ 2 มีการสนทนาเรื่องภัยแล้ง --> เป็นความผิดพลาดของ กรมอุตุฯ นายกอภิสิทธิ์ กรมชลประทาน ที่คิดว่าปี 2554 จะเกิดภัยแล้ง
http://www.democrat.or.th/th/news-activity/article/detail.php?ID=8376
@ ถ้าpageถูกลบ คลิกดูที่นี่...

บางช่วงของการสนทนาเรื่องภัยแล้ง...

นายกรัฐมนตรี(นายอภิสิทธิ์): ...แต่ว่าวันนี้ที่คงจะต้องมาคุยกันเพราะว่าในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาคนอาจจะมองข้ามไปว่าเรามีภัยแล้งเกิดขึ้นอยู่ 47 จังหวัด ขณะนี้ที่ถือว่าประสบกับปัญหาภัยแล้งอยู่ อยากให้ท่านอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาได้ช่วยลองให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจว่าสถานการณ์ในปัจจุบันและต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตโดยเฉพาะในปีนี้แนวโน้มจะเป็นอย่างไร เพราะว่าปีที่แล้ว ก็เหมือนกันครับเรามีน้ำท่วมใหญ่ปลายปี คนก็ลืมไปว่าก่อนหน้านั้นเรามีภัยแล้งค่อนข้างรุนแรงเทียบกันแล้วปีนี้แนวโน้มน่าจะเป็นอย่างไร

อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา(นายต่อศักดิ์ วานิชขจร): ผมขออนุญาตเรียนอย่างนี้ครับ เอาจากเหตุการณ์น้ำท่วมทางใต้ก่อน ผมจะไล่จากภาคใต้ขึ้นมาภาคเหนือ ภาคใต้ของเราในขณะนี้ทั้งสองฝั่งถือว่าฝนปกติแล้ว จะเริ่มเข้าฤดูฝนโดยเริ่มจากภาคใต้ฝั่งตะวันตกหรือทางฝั่งอันดามันก่อนในช่วงของปลายเดือนเมษายน ส่วนทางด้านภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยหรือฝั่งตะวันออกนั้นจะขาดฝนหรือฝนตกน้อยไปจนถึงเดือนเกือบจะเดือนตุลาคม เพราะฉะนั้นภาคใต้ฝั่งตะวันออกหรือฝั่งอ่าวไทยจะต้องเตรียมตัวเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้ดีโดยเฉพาะเรื่องของการขาดน้ำหรือภัยแล้ง ส่วนด้านภาคใต้ฝั่งตะวันตกหรือฝั่งอันดามัน จะต้องเข้าสู่ฤดูฝนตามปกติของเขา แต่ว่าฝนก็ยังไม่น่าจะมากถึงขนาดเกิดอุทกภัยซ้ำขึ้นมาอีก จากนั้นจะมีฝนเคลื่อนขึ้นมาสู่ภาคกลางในเดือนพฤษภาคมและเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะทางด้านตะวันตกของประเทศจะต้องมีฝนตกมากในช่วงของเดือนพฤษภาคม ส่วนต่อจากนั้นในช่วงของมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม จะมีช่วงที่เรียกว่าฝนทิ้งช่วงสามารถที่จะเกิดภัยแล้งขึ้นหลาย ๆ จังหวัด โดยเฉพาะตอนบนของประเทศทางภาคเหนือทางภาคอีสาน ซึ่งอีสานตอนนี้บางที่ค่อนข้างจะแล้งมาก ๆ ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวรับมือ เพราะว่าฝนที่จะเข้ามาอีกช่วงหนึ่งนั้นจะเป็นช่วงของกันยายน อันนั้นต้องระมัดระวังเรื่องของอุทกภัยอีกครั้งหนึ่ง ส่วนช่วงนี้ถึงช่วงเดือนกันยายนจะต้องรับมือเรื่องภัยแล้ง ซึ่งฝนที่เข้ามานั้นจะมีบ้างแต่ไม่เพียงพอกับการเกษตร อันนี้ต้องเตรียมรับมือ...

2. จึงทำให้มีการทำฝนเทียม ในระหว่าง เม.ย. ถึง ต.ค. 2554
http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255404060184&tb=N255404&news_headline=%CB%B9%E8%C7%C2%BB
@ ถ้าpageถูกลบ คลิกดูที่นี่...

3. ทำให้เขื่อนกักเก็บน้ำแบบผิดปกติ โดยไม่ยอมผันน้ำออก
http://ichpp.egat.co.th/graphIN/hydro/bigdam.php?year=2011
@ ถ้าpageถูกลบ คลิกดูที่นี่...

4. ในขณะที่ปริมาณน้ำฝนปีนี้สูงมากกว่าทุกปี









ท่านนายกฯปูครับ จากคลิปนี้ดูตัวอย่างสะพานน้ำยกระดับข้ามถนนสุขุมวิทระบายน้ำจากสนามบินสุวรรณภูมิลงทะเลที่บางปู ประเทศไทยควรจะสร้างสะพานสำหรับส่งน้ำลงทะเลได้แล้ว


วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

68> นายกฯปูเฉียบขาด งัดม.31พ.ร.บ.ป้องกันฯยึดอำนาจ กทม.

@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 01 คุณปูครับ...ปรับเปลี่ยนงาน ปชส.ของรัฐบาลและ ศปภ.ได้แล้ว
@ 02 ไอ้ชาติห-มาตัวไหนใส่ร้ายนายกฯปู มานี่มาดูให้เต็มตา...
@ Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 77 ดูคลิปวีดีโอชัดๆ "นายกฯยิ่งลักษณ์" ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่ท้อ(ค่ะ) ไม่ร้องไห้ ... ต้องเข้มแข็ง








นายกฯปูเฉียบขาด งัดม.31พ.ร.บ.ป้องกันฯยึดอำนาจ กทม.

ส่งระดับรองอธิบดีมานั่งทำงานประจำที่ศาลาว่าการ กทม. พร้อมให้ศึกษาแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของ กทม.ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 ต.ค.ที่ประชุม ศปภ.ว่าด้วยการจัดโครงสร้างเพื่อรองรับการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี กรณีสถานการณ์สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 31 แห่งพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ ทีมเสนาธิการทหาร ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมประชุม

มีผลสรุปทั้งสิ้น 14 ข้อ แต่สาระสำคัญคือ

ข้อที่ 2 ระบุให้การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีผ่าน ศปภ.

ทั้งนี้ให้มี ศปภ.ส่วนหน้าโดยนายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับประสานการปฏิบัติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ร่วมกับผู้ว่าฯ กทม. โดย ศปภ.จะเป็นผู้สนับสนุนเสนอแนะการปฏิบัติงานของ กทม. ทั้งนี้การประสานสั่งการใดๆ ต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยจะมีเฉพาะคำสั่งจาก ศปภ.เท่านั้น และ

3. ให้มี ศปภ.ส่วนหน้าในการดูแลฝั่งตะวันออก โดยปลัดกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้กำกับดูแล โดยจะสื่อสารผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์หรือโทรศัพท์แล้วแต่กรณี

นอกจากนี้ข้อที่ 5. ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยมอบอธิบดีในสังกัดกระทรวงมหาดไทยไปปฏิบัติงานที่ ศปภ.ส่วนหน้า ที่ห้องสุทัศน์ ชั้น 2 ตึกดำ ศาลาว่าการ กทม.ในวันที่ 22 ต.ค.เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป พร้อมให้อธิบดีในสังกัดกระทรวงมหาดไทยศึกษาแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของ กทม.ปี 2553-2557

นอกจากข้อนี้ 8. ให้ทุกหน่วยงานของมหาดไทย ที่มีหน่วยงานในสังกัดตั้งอยู่ในเขต กทม.ดูแลป้องกันสถานที่ราชการของตนเองเพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย

ข้อ 12. ในการไปปฏิบัติงานในวันที่ 22 ต.ค.ให้อธิบดีและผู้ว่าการฯของรัฐวิสาหกิจในสังกัดมหาดไทยหรือระดับรอง อธิบดีที่มีอำนาจตัดสินใจไปร่วมปรึกษาหารือโดยเฉพาะกับการไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง ให้ผู้ว่าการฯไปด้วยตนเอง

และข้อ 14. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประจำที่ ศอส.ของมหาดไทย โดยให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไปบ้างเป็นครั้งคราวกรณีหากมีการนำเสนอที่สำคัญ ทั้งนี้ให้นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ รองผวจ.ฉะเชิงเทรา รักษาราชการรองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไปประจำที่ศาลาว่าการ กทม.ในวันที่ 22 ต.ค.ด้วย

ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่าเมื่อเวลา 18.30 น. ที่ ศปภ.บริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน ) ได้ประกาศแจ้งผู้ที่จะเดินทางเข้าออกภายในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง อาจไม่ได้รับความสะดวก เนื่องจากการท่าอากาศยานจะเริ่มวางแนวกระสอบทราย ตลอดประตูทางเข้าออกริมถนนวิภาวดีรังสิต ตั้งแต่ประตู 1-9 ความสูง 50 เซนติเมตร เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำที่จะเข้าสู่กทม.ชั้นใน อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ ทอท.ระบุว่าเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เนื่องจากท่าอากาศยานดอนเมืองยังมีผู้โดยสารเครื่องบินต้องเดินทางเข้า ออกอยู่ตลอด อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของ ศปภ. ซึ่งเป็นศูนย์กลางบัญชาการแก้ปัญหาน้ำ

มาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 บัญญัติไว้ว่า...

“ในกรณีที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจสั่งการผู้บัญชาการ ผู้อำนวยการ หน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมตลอดทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ที่กำหนดก็ได้ โดยให้มีอำนาจเช่นเดียวกับผู้บัญชาการตามาตรา 13 และผู้อำนวยการตามมาตรา 12 และมีอำนาจกำกับและควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และเจ้าพนักงานในการดำเนินการตามมาตรา 25 มาตรา 28 และมาตรา 29 ด้วย

เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แล้วแต่กรณี”

จะเห็นว่า...มาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ไม่เหมือนกับการออกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นการใช้บทบัญญัติทางกฎหมายในการบังคับใช้กับ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงาน มิใช่นำมาใช้บังคับตีกรอบกับ “ประชาชน” เหมือนอย่างเช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเคยประกาศใช้ในเหตุวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา

และในช่วงที่ภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรงเช่นนี้...เหตุผลที่ต้องใช้ มาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ก็เพราะ...ไม่ต้องการให้ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ทำงานแบบเป็น “กบเลือกนาย” คือ ใครชอบหน้ากูก็ทำ...ใครไม่ชอบหน้ากูก็ไม่ทำ ซึ่งกฎหมายนี้มันมีบทลงโทษสำหรับ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ที่ไม่ยอมฟังคำสั่ง “ผู้บังคับบัญชาสูงสุด” ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรี

เพราะในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้...ทุกคนต้องสลัดทิ้งความรู้สึกส่วนตัว และหันมาร่วมมือทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน


น้ำไม่ได้ท่วมแค่ประเทศ แต่ท่วมผู้(พยายาม)นำประเทศด้วย
By: บ้านสวนธน

ปัญหาน้ำท่วมบานปลายค่อนประเทศ จะด้วยฝีมือธรรมชาติลงโทษ หรือน้ำมือมนุษย์ ฉวยโอกาส(หรือผสมโรง) ช่วงธรรมชาติเอาคืนมนุษย์ทั่วโลก (ที่ว่าบานปลาย เชื่อว่าคนคิดใช้น้ำสกัดดาวรุ่งกะพอแค่ขัดขาล้างบางรัฐบาล แต่มันลุกลามเกินความควบคุม พาเอาธุรกิจสารพัดชนิดของตัวเองบรรลัยไปเพราะน้ำด้วย ไม่ใช่แค่ประชาชนที่เดือดร้อนงานนี้ อำมาตย์ก็เจ็บหนัก 555)

บ้านเราต่างจากบ้านอื่นตรงที่ผู้นำประเทศ ไม่ได้มีแค่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น นายกฯยังต้องฟังคำสั่ง(หรือป่าว)ผู้(พยายาม)นำประเทศบางคนอยู่

นาทีนี้ ใครๆทั้งประเทศไทยก็รู้ว่า ผู้นำประเทศที่ประชาชนคนไทยเลือกมาชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กว่าจะรับตำแหน่งทำงานได้ก็หืดขึ้นคอ ไม่ทันข้ามเดือนก็เจอ ต้อนรับน้องใหม่(ถอดด้าม)ด้วยน้ำ น้ำปริมาณมหาศาลและวิชามารสารพัดทั้งกั้นทั้งกันทั้งกัก น้ำไม่ให้ได้ระบายลงทะเลตามที่ควรเป็น

กักเอาไว้กันเอาไว้เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับผู้(พยายาม)นำประเทศ เข้าตำรา คนกำลังเสื่อมก็มักจะทำอะไรที่ไม่คิดว่ามันจะทำให้ตัวเองเสื่อม สร้างความวิบัติให้กับตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต้องการทำลายสร้างศัตรู(ประชาชน) กลับกลายเป็นหยิบยื่นความวิบัติให้กับตัวเองไปซ่ะงั้น 555

๑. สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจคนที่ได้รับความเดือดร้อน(ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง)

๒. เปิดตาให้ความสว่างแก่ประชาชน(เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้) ว่าด้วยเรื่องความโหดเหี้ยม

๓. เปิดตาให้ประชาชนเห็นถึงความโลภ เป็นผู้รับส่วนใหญ่ แต่ให้ส่วนน้อย รับล้านจ่ายร้อย เอาบุญคุณพันล้าน

๔. เปิดตาให้ประชาชนเห็นความจงใจพยายามกีดขว้างการบริหารประเทศของรัฐบาล แผนสกัดดาวรุ่ง -กักน้ำให้ท่วมขังอย่างจงใจ ไม่ปล่อยให้ระบาย -ปล่อยน้ำเขื่อนอย่างจงใจให้วิบัติเดือดร้อน นอกจากไม่ยอมให้ระบาย

งานนี้ รัฐบาลของประชาชนที่มีผู้นำ ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับไปเต็มๆ ความชอบธรรม ความรักศรัทธาจากประชาชน เพราะทุกคนก็เห็นว่าเธอพยายามบำบัดทุกข์ให้กับประชาชน ถ้าไม่มีใครคอยขัดแข้งขัดขา เมื่อน้ำลด เธอจะสามารถบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ได้เต็มความสามารถ ถึงจะได้แค่ผ่อนหนักได้แค่เบาๆ แต่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์อยู่ขณะนี้ก็จะยิ่งเป็นกำลังใจเอาใจช่วยให้เธอทำงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผ่อนความทุกข์ (จากที่ประชาชน ได้ฝากความหวังว่า ได้เธอมาจะทำให้ลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องลำบากกันหนักกว่าเดิม เพราะความมืดบอดบังตาบังใจผู้(เคย)มีอำนาจ)

ขอเตือน ผู้(พยายาม)นำประเทศ ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากเท่าไหร่ ความบรรลัยก็ยิ่งเปลี่ยนจากคืบคลาน ไปเป็นวิ่งเข้าหาพวกท่านเร็วกว่าที่คิด ยิ่งสายน้ำที่ท่านจงใจใช้เป็นเครื่องมือหรือไม่ก็ตามแรงเท่าไหร่ ทำลายล้างได้มากเท่าไหร่ ความร้าย ความแรงก็ย้อนกลับสู่ตัวท่านเท่านั้น

ยิ่งจงใจทำลายล้าง ยิ่งสร้างความแข็งแกร่ง งานนี้ ผู้(พยายาม)นำประเทศคงกำลังงงเป็นไก่ตาแตกไม่คิดว่ามือใหม่ในการบริหารงานราชการ(แต่เก่าในการบริหารธุรกิจ)อย่างยิ่งลักษณ์ จะงัดยาแรง ออกมาสู้กับการสั่งการสวนทางกับรัฐบาล อย่างที่เห็นรัฐบาลได้ออกคำสั่งเตือนภัยพิบัติร้ายแรง ตามมาตรา 31 ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 งานนี้ประชาชนทั่วประเทศ เขามองออกว่า ที่ทั้งล่มและจมน้ำอยู่ทุกวันนี้ เพราะข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลตามที่ควรจะเป็น เพราะต้องฟังคำสั่ง จาก...?????

ราชการทุกภาคส่วนมีความรู้ความสามารถในการรับมือปัญหา(หรือป่าว) มีคนมีความรู้ความสามารถชำนาญการ เชี่ยวชาญสารพัดเรื่อง ดร.ก็แทบจะเหยียบกันตายในแต่ละกรมกอง แต่ไม่มีความสามารถในการรับมือกับปัญหาความรุนแรงของน้ำได้เลย หรือว่าทำได้แต่ไม่ทำ

ความวิบัติมันไม่เลือกซ่ะด้วย น้ำก็เลือกไม่เป็นว่าใครเป็นใคร ก็เลยสร้างวิบัติกระจายให้อย่างทั่วถึงทุกผู้ทุกคน สร้างความเดือดร้อนให้เขา โดยลืมไปว่า ความเดือดร้อนนั้นก็จะย้อนถึงตัวเองด้วย







By: ปลายอ้อกอแขม

ว่ากันว่า คนเรานี่จะเห็นน้ำจิตน้ำใจซึ่งกัน ก็ต่อเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย หรือประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส ซึ่งก็ตอนนี้แหละที่จะได้เห็นธาตุแท้ของคนว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา จะมาดูใจหรือไม่ มาช่วยเหลือหรือเปล่า มาเยี่ยมมาเยือนบ้างหรือเปล่า..เพื่อนแท้ในยามทุกข์

เมื่อทักษิณพูดว่า “จะดูแลคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับแรก” พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาโจมตีทักษิณ อย่างรุนแรง กล่าวหาว่าแบ่งแยกประชาชน และพยายามยุยงให้คนเกลียดทักษิณ แต่ในที่สุดธาตุแท้ของคนประชาธิปัตย์ก็เผยออกมาให้เห็น...จะว่าไง?

วันนี้ ผู้ว่า กทม.หม่อมสุขุมพันธ์ ฟันธงเปรี้ยง “ผมรับผิดชอบต่อชาว กทม.ไม่ได้รับผิดชอบต่อคนทั้งชาติ” นับเป็นวาทะกรรมชิ้นเอกที่ต้องจดจำกันไปอีกนานแสนนาน...สำหรับคนต่างจังหวัด

ผู้ว่า กทม.พูดหลายครั้งหลายหนประมาณว่า “น้ำท่วมที่ไหนก็ท่วมไป ไม่เกี่ยว จะตายจะเดือดร้อนอย่างไร ไม่รู้ แต่ไม่ให้ท่วม กทม.เด็ดขาด เพราะคน กทม.เลือกผมมา แต่ถ้าน้ำท่วม กทม.ได้ ไม่ใช่ผม...เป็นเพราะรัฐบาล”

วันนี้ ภาพปรากฏชัดแล้วว่า สาเหตุที่น้ำท่วมภาคกลางเป็นเวลานานนั้น สาเหตุสำคัญก็คือกรุงเทพฯโดยผู้ว่า กทม.มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ โดยไม่ยอมเปิดประตูระบายน้ำ เพื่อให้น้ำผ่าน กทม.ออกสู่ทะเล จนเป็นเหตุให้น้ำท่วมขังอยู่ที่อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรีเป็นเวลานาน สร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสต่อประชาชน...ใช่ไหมครับ ?

เป็นเพราะอยุธยา ปทุม นนทบุรี ไม่มี สส.ของพรรคประชาธิปัตย์เลย จึงเป็นเหตุให้ผู้ว่า กทม.ไม่สนใจ จะตายโหงตายกระเทียมอย่างไร ก็ช่างแม่มมัน...อย่างนั้นหรือครับ?

นี่แหละครับ จึงเป็นสาเหตุให้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องงัด พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 31 มาใช้สั่งการเพื่อขจัดอุปสรรค ที่คอยขัดขวางการแก้ปัญหาให้กับประชาชนทั้งประเทศ...คือตัวผู้ว่า กทม.นี่เอง!

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

67> โชคดีของประเทศไทยที่มียิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ

@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 01 คุณปูครับ...ปรับเปลี่ยนงาน ปชส.ของรัฐบาลและ ศปภ.ได้แล้ว





โชคดีของประเทศไทยที่มียิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ
By: ทวดเอง

บางคนคงคิดว่าผมอวยอย่างไม่ลืมหูลืมตา

บางคนอาจคิดว่าผมสติแตกไปแล้ว เมื่อเห็นรัฐบาลที่ตัวเองเลือกทำงานล้มเหลว

แต่ลองมาดูความคิดของผมบ้างนะครับ ว่าทำไมผมจึงพูดอย่างนั้น

ถ้าวันนี้ไม่ใช่เป็นคุณยิ่งลักษณ์ แต่เป็นคุณอภิสิทธิ์

เราคงไม่ได้เห็นนายกฯลงพื้นที่อย่างถี่ยิบ

เราคงไม่ได้เห็นนายกฯทำงานแม้กระทั่งวันหยุด

เราคงไม่ได้เห็นนายกฯที่ทำงานโดยไม่เน้นการสร้างภาพ

แต่เราจะเห็นนายกฯที่พาครอบครัวไปพักผ่อน แม้ประชาชนกำลังทุกข์หนักกับภัยธรรมชาติ

เราจะเห็นนายกฯยังคงขึ้นโพเดี้ยมเพื่อแสดงปาฐกถา

เราจะเห็นนายกฯที่ต่อว่าสื่อฯหรือหน่วยงานเอกชนที่ทำงานเกินหน้ารัฐบาล

เราจะเห็นนายกฯออกมาแก้ตัวเรื่องน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี

เราจะเห็นนายกฯต่อล้อต่อเถียงกับผู้ประสบภัย

เราจะเห็นนายกฯบอกให้ประชาชนต้องทำใจยอมรับในชะตากรรม น้ำมาเองเดี๋ยวก็ไปเอง

ท้ายสุดเมื่อทนคำตำหนิติเตียนไม่ได้ ก็จะโยนความผิดไปให้กับคุณทักษิณอีกก็เป็นได้นะครับ

ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาที่หลายฝ่ายมักออกมาพูดเรื่องการบริหารน้ำผิดพลาดนั้น ผมยังคงคิดว่า รัฐบาลที่เริ่มทำงานเพียงไม่ถึง 2 เดือนกับน้ำที่ท่วมมาก่อนร่วม 3 เดือน ก่อนหน้านี้รัฐบาลรักษาการทำอะไรกันอยู่ ทำไมเริ่มมาแสดงความห่วงใยก็ตอนเมื่อเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว แล้วจากปริมาณน้ำที่สะสมมาเป็นเวลานาน จะให้แก้ไขได้ภายในเดือนเดียว คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆดังที่หลายฝ่ายพยายามใช้น้ำลายในการแก้ไขปัญหาหรอกครับ

และการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมในครั้งนี้ มันก็ไม่ต่างกับการแก้ไขน้ำท่วมของรัฐบาลชุดไหนๆ เพราะประเทศไทยยังไม่เคยประสบกับปัญหาน้ำที่มากมายขนาดนี้ ส่วนใหญ่การแก้ไขปัญหาจึงเป็นการแก้ไปตามรูปแบบเดิมๆ เคยกั้นน้ำอย่างไรกั้นอย่างนั้น เคยใช้กระสอบทรายก็ยังคงใช้อย่างนั้น หน่วยงานที่แก้ไขป้องกันน้ำท่วมก็ชุดเดิมๆ ที่ใช้ก็รูปแบบเดิมๆ เพียงแต่ปัญหาครั้งนี้เป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุด ปัญหาต่างๆจึงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นผมจึงยังคงมั่นใจเป็นการส่วนตัวว่า ถึงอย่างไรการทำงานของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ก็มีความตั้งอกตั้งใจช่วยเหลือประชาชนอย่างสุดความสามารถมากกว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์แน่ๆครับ

มีสิ่งเดียวที่ควรตำหนิก็คือการทำงานอย่างไม่เป็นเอกภาพของ ศปภ. และการแถลงข่าวที่ยังสร้างความสับสนให้กับประชาชน สิ่งนี้คิดว่าต่อไปคงจะได้รับการแก้ไขที่ดีขึ้น

และที่ผมมั่นใจพอที่จะบอกว่า โชคดีของประเทศไทยที่มีคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯก็ไม่ได้พูดเกินจริง เพราะประเทศไทยมีตัวเลือกแค่สองคนที่จะเป็นนายกฯ

นายกฯคนหนึ่งเราก็ได้เห็นการแสดงฝีมือในการบริหารน้ำท่วม ขนาดเจอน้ำที่น้อยกว่านี้ถึง 3 เท่า ยังไม่สามารถเยียวยาผู้ประสบภัยได้อย่างทั่วถึงจนถึงวันนี้ ได้แต่ใช้วาทกรรมต่างๆในการแก้ไขปัญหาในทุกเรื่อง จนประชาชนพากันยกให้เป็นผู้นำฝ่ายค้านไปแล้ว

นายกฯคนใหม่ ถึงจะใหม่ถอดด้าม แต่ก็มีความสามารถในการดึงหน่วยงานทุกภาคส่วนมาร่วมกันทำงาน ไม่เคยใส่ใจว่าใครจะได้หน้า ขอแค่ประชาชนพ้นภัยให้เร็วที่สุด ไม่เคยท้อถอย แม้จะถูกหลายฝ่ายตำหนิติเตียนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่เคยคิดแก้ตัวในเรื่องความผิดพลาด และสิ่งสำคัญที่สุดของนายกฯคนนี้ก็คือไม่จองหองจนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ผิดก็พร้อมจะแก้ไข ซึ่งหายากมากกับนายกฯประเทศไทย

ดังนั้นผมจึงคิดว่า นายกฯคนแรกเคยขอโอกาสทั้งๆที่ประชาชนไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่สามารถนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า พอมาปีสอง ก็ยังคงขอโอกาสที่จะทำงานให้กับประเทศอีก แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นอกจาก"ดีแต่พูด"แล้ว ประชาชนก็ยังไม่เคยเห็นผลงานอะไรสักชิ้นเดียวที่ดีกว่าที่พูดไว้ แล้วยังสะเออะจะมาขอให้โอกาสอีกในการเลือกตั้ง และก็เป็นโชคดีของประเทศที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้กับนายกฯที่คิดว่า มีแต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาไปได้ทุกอย่าง


ส่วนคุณยิ่งลักษณ์นิสิครับ น่าสนใจมาก สตรีที่ยอมอุทิศความสุขส่วนตัว เข้ามารับใช้ประชาชน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความมุ่งมั่นในการทำงานจริงๆ แม้วันนี้จะล้มเหลวในการป้องกันน้ำท่วมก็ตาม แต่ยังมีโอกาสที่จะแสดงความเป็นผู้นำ ภายหลังจากภัยผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งที่ผมเชื่อก็คือการเยียวยาหลังน้ำท่วม รับรองว่าต้องดีกว่ารัฐบาลก่อนอย่างแน่นอน เพราะถึงตอนนั้นจึงจะเข้าสู่โหมดบริหารของนักบริหารอย่างแท้จริง และก็เป็นเวลาที่คุณยิ่งลักษณ์มีโอกาสตั้งหลักได้เสียที

และอีกหนึ่งความหวังของผมก็คือ การบูรณาการเรื่องการป้องกันน้ำท่วมอย่างถาวร(การวางระบบจัดการน้ำอย่างถาวร) ซึ่งผมเห็นถึงแววความมุ่งมั่นแล้ว ผมเชื่อมั่นอย่างไรไม่รู้ว่า คุณยิ่งลักษณ์จะต้องทำได้ จะต้องทำให้ประเทศไทยพ้นภัยจากน้ำท่วมอย่างถาวร

สุดท้ายผมก็ยังอยากให้กำลังใจคุณยิ่งลักษณ์อีกเสียงหนึ่ง ให้ทำหน้าที่ต่อไป และคงไม่ใช่ผมเพียงคนเดียว แต่ยังมีอีกมากมายดังที่ผลสำรวจออกมาแล้วว่า คะแนนความมุ่งมั่นได้ถึง 9 เต็ม 10 แม้คะแนนของ ศปภ.จะได้คะแนนแค่ 3 กว่าก็ตาม เพราะเมื่อเปรียบกับรัฐบาลชุดที่แล้ว มีโอกาสถึง 2 ปี ก็ยังไม่เคยเห็นโพลล์ให้คะแนนเกินครึ่งแม้แต่ครั้งเดียว

ดังนั้นผมจึงอยากตะโกนบอกคุณยิ่งลักษณ์ดังๆว่า สู้สู้ ครับ อย่าให้พวกเก่งแต่พูดมาพูดให้เสียกำลังใจนะครับ คุณยิ่งลักษณ์ ให้คิดไว้เสมอว่า อย่างน้อยมีคนไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคนยังคอยให้กำลังใจอยู่นะครับ



วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

66> เปิดคำวินิจฉัยผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย ปฏิเสธอำนาจคณะรัฐประหาร!!!!!

@ ถ้ากลัวเด็กติดgame ก็ไปถามคนป่าแอฟริกัน หรือว่า พวกเด็กๆใน อูกันดา รวันดา นะครับ
@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 01 คุณปูครับ...ปรับเปลี่ยนงาน ปชส.ของรัฐบาลและ ศปภ.ได้แล้ว





TheDailyDose ประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2554


เปิดคำวินิจฉัยผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย ปฏิเสธอำนาจคณะรัฐประหาร!!!!!

"หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป"...

28 กันยายน 2552 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเสียงข้างมากพิพากษาตัดสิทธิทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเวลา5 ปี กรณีปกปิดข้อเท็จจริงในการยื่นบัญชีแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งยังพิพากษาให้มีโทษทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีคำสั่งให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 4 พันบาท แต่โทษจำคุกให้รอไว้ก่อน 1 ปี

คดีดังกล่าว มี ป.ป.ช.เป็นผู้ร้อง โดยยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่า นายยงยุทธ อาจเข้าข่ายจงใจปกปิดการยื่นรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 2548

ข่าวเลือนหายไปจากความสนใจอย่างเงียบเชียบในเวลาไม่นาน แม้แต่ตัวของนายยงยุทธเองก็น้อมรับคำวินิจฉัยอย่างไม่ยี่หระพร้อมกล่าวว่า "คมช.เข้ามา ผมก็ถูกดำเนินคดีโหลนึง วันนี้เป็นคดีที่ 4 ยังมีคดีที่เหลือต้องขึ้นศาลอีก รอดครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะรอดหรือไม่"

ทว่ามติของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองครั้งนี้ จะกลายเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์กระบวนการกฎหมายไทยที่ผู้พิพากษารายหนึ่งมีคำวินิจฉัยปฏิเสธอำนาจของคณะรัฐประหารอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมอ้างอิงหลักกฎหมายในการวินิจฉัยความไม่ชอบธรรมของคณะรัฐประหารผ่านคำวินิจฉัยส่วนตนซึ่งใช้ประกอบการลงมติตัดสินคดีดังกล่าว และนี่คือคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย

"ส่วนหนึ่งจากคำวินิจฉัยส่วนตนของนายกีรติ กาญจนรินทร์ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๙/๒๕๕๒"

...ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้หรือไม่ เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน ศาลจึงต้องใช้ อำนาจดังกล่าวเพื่อประชาชนอย่างสร้างสรรในการวินิจฉัยคดีเพื่อให้เกิดผลในทางที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และหากศาลไม่รับใช้ประชาชน ย่อมทำให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถูกท้าทายและสั่นคลอน

นอกจากนี้ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายรวมถึงพันธกรณีในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและพันธกรณีในการปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย

การได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชนส่วนใหญ่ เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย

หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ

ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการหรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์

ผู้ร้องประกอบด้วยคณะบุคคลที่เป็นผลพวงของ คปค. ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 ด้วยเช่นกัน ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้ อำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่าผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

วินิจฉัยให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

นายกีรติ กาญจนรินทร์




หมายเหตุ คำวินิจฉัยมีทั้งหมด 10 หน้า ประชาไทลงเฉพาะคำวินิจฉัยหน้า 8-10 จากเนื้อหาทั้งหมด 10 หน้า เนื่องจากก่อนหน้านั้นเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงในคำร้องของป.ป.ช.

Wed, 2009-11-04 22:39
http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26459

65> ฐิติมาจัดหนัก ตอกมาร์คไม่ต้องมาสอน

@ ถ้ากลัวเด็กติดgame ก็ไปถามคนป่าแอฟริกัน หรือว่า พวกเด็กๆใน อูกันดา รวันดา นะครับ
@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง




ฐิติมาจัดหนัก ตอกมาร์คไม่ต้องมาสอน
By: ข่าวสดรายวัน วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7594

นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนประชุมครม.ถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะเดินทางเยือนกัมพูชาในวันที่ 15 ก.ย. ว่าคงรู้หน้าที่ว่าควรทำอย่างไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีและมีกระแสข่าวจะเดินทางไปกัมพูชาเช่นเดียวกันว่า อยากบอกถึงนายอภิสิทธิ์ ว่าไม่ต้องมาสอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะนายกฯรู้ดีว่าตัวเองทำอะไร การไปเยือนประเทศต่างๆ ได้ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนและสร้างความสัมพันธ์อันดี ควรกลับไปดูว่ารัฐบาลที่แล้วทำอะไรไว้บ้าง ไปเจรจากับต่างประเทศยังทำเป็นความลับ เพราะอะไรก็รู้กันอยู่

นางฐิติมา กล่าวว่า ขอให้มั่นใจว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อคนๆหนึ่ง และช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าสาเหตุที่ไม่สามารถนำพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้เพราะอะไร เราคงไม่อยากได้ยินเรื่องอินเตอร์โพลหรือตำรวจสากลอีกแล้วเพราะเป็นเรื่องโกหก หลอกลวงประชาชนมาเป็นปี ทำให้เข้าใจว่าตำรวจสากลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เรื่องนี้อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าไม่เป็นเรื่องจริงและไม่มีการออกหมายจับ และการโกหกเช่นนี้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่ทำ

ถามกลับกรณีถลุง 4 หมื่นล้าน

"คุณอภิสิทธิ์ ควรกลับไปดูว่ารัฐบาลที่แล้วว่าทำอะไรไว้บ้าง ไม่ต้องมาสอนสั่ง วันก่อนก็สอนเรื่องงบประมาณน้ำท่วม โดยพยายามบอกว่ารัฐบาลของเขาคงไม่ต้องสอนรัฐบาลนี้ ตรงนี้ดิชั้นจะเอาข้อมูลออกมาให้ดูว่า 4 หมื่นกว่าล้านบาท ที่เอาไปช่วยน้ำท่วมคราวที่แล้ว เอาไปทำอะไรบ้าง และเกิดประโยชน์ในการป้องกันการเกิดน้ำท่วมได้อย่างไร หรือไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉก เดี๋ยวมาดูกัน แต่คุณยิ่งลักษณ์ ไปเยือนแต่ละประเทศอย่างสง่างามและได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากทุกประเทศ ทั้งบรูไนและอินโดนีเซีย ฝากถึงรัฐบาลที่แล้วว่าให้กลับไปดูตัวเองว่าทำอะไรไว้ และเป็นปัญหากับประชาชนมากแค่ไหนแล้วยังมาสั่งสอน" นางฐิติมา กล่าว

เมื่อถามว่าแนวทางของรัฐบาลต่อการดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างไร นางฐิติมากล่าวว่า ต้องปล่อยไปตามกระบวนการ เราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างนายกฯกับพี่ชาย เป็นปกติ ไม่จำเป็นว่าการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องไปพบพี่ชาย แต่มีความพยายามหาเรื่องว่าการไปเยือนบรูไนหรือกัมพูชาของนายกฯ จะต้องไปพบพี่ชาย



"สมเด็จฮุนเซ็น" ตบหน้ามาร์คฉาดใหญ่แฉซ้ำ "ผู้นำเอกสารลับมาเจรจาคือสุเทพ เทือกสุบรรณ และ ประวิตร วงศ์สุวรรณ"
By: http://www.15thmove.net/news/hun-sen-revealed-suthep-secret-oil-deal/

หนังสือพิมพ์กัมพูชาใหม่ วานนี้ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๔) หนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพและเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา วันนี้ (๑๓ กันยายน ๒๕๕๔) รายงานคำกล่าวของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระหว่างพิธีมอบปริญญาบัตรผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการจัดการ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าเกาะเพชร วานนี้ กรณีการเดินทางเยือนกัมพูชาของทักษิน ชินวัตร ที่จะถึงกัมพูชาในวันที่ ๑๖ กันยายน หนึ่งวันให้หลังการเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกรณีกล่าวโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เรื่องการเจรจาลับแบ่งผลประโยชน์น้ำมันในพื้นที่อ่าวไทย

ฮุน เซน กล่าวถึงการให้การต้อนรับทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีโทษจำคุก ว่า "ผมจะเปิดสำนักนายกรัฐมนตรีต้อนรับ ผมรับทักษิณอย่างเป็นทางการ รับในนามเป็นมิตรแท้อย่างหนึ่ง และจะรับในฐานะวิทยากรคนหนึ่งสำหรับการสัมมนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจเอเชีย แล้วขออย่ามาสั่งให้ผมจับทักษิณ ไม่ว่าพรรคฝ่ายค้านไทย ไม่ว่ารัฐบาลไทย คือไม่ได้เลย เพราะนี่เป็นดินแดนเขมร ที่เป็นสิทธิของผม" ฮุน เซน กล่าวต่อว่า "ทักษิณมาตามคำเชิญในการสัมมนาที่เตรียมการโดยราชบัณฑิตยสภากัมพูชา(1) ที่มีพรรคประชาธิปไตยนิยมกลางสากล(2) เข้าร่วมด้วย หรือกล่าวคือเขามาเป็นวิทยากรที่กัมพูชา ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผมจะไม่รับเขาที่บ้านของผม ผมจะรับเขาที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วจะมีการเลี้ยงรับรองที่สำนักนายกรัฐมนตรี"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า จะมีการประดับเหรียญเกียรติยศแก่ผู้ทรงเกียรติจำนวนหนึ่ง ที่ได้เริ่มต้นก่อตั้งการประชุมนานาชาติพรรคการเมืองเอเชีย (ICAPP) ซึ่ง ดร.ทักษิณ จะได้รับเหรียญด้วย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย (นพดล ปัทมะ) ก็ได้รับด้วย พร้อมกับนักการเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ผู้ได้รับเชิญร่วมประดับเหรียญคือ อดีตประธานสภาฟิลิปปินส์ และรองประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย

ต่อกระแสข่าวที่ว่าทักษิณ ชินวัตร เดินทางเยือนกัมพูชาเพื่อเจรจาเรื่องผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทย บนพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน นั้น ฮุน เซน กล่าวว่า "ผมมีข้อห้าม ผมไม่คุยกับทักษิณเรื่องปัญหาผลประโยชน์ในประเทศทั้งสอง แล้วทักษิณก็มีข้อห้ามด้วย เราดึงทักษิณมาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจจากเขา ส่วนภารกิจเจรจาเป็นภารกิจของรัฐบาลไทย ก่อนหน้าคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปัจจุบันนี้คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์" ฮุน เซน กล่าวต่อว่า "ผมขอยืนยันว่า ทักษิณไม่มีภารกิจที่จะเจรจาในเรื่องใดทั้งสิ้น ในเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องระหว่างกัมพูชา-ไทย เพราะนี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทย ไม่ใช่หน้าที่ของ ฯพณฯ ทักษิณ"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวถึงกรณีแถลงการณ์ขององค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่เปิดเผยข้อมูลการเจรจาลับระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เรื่องผลประโยชน์น้ำมัน ว่า เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านไทยยกประเด็นขึ้นมา ต่อมาองค์การปิโตรเลียมกัมพูชาได้ประกาศข่าวเกี่ยวกับการเจรจาลับ มีสมาชิกสภาฯ พรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง โจมตีทักษิณว่า ทักษิณเจรจามีผลประโยชน์กับกัมพูชา ในยุคทักษิณได้เปิดการเจรจาอย่างเปิดเผย โดยมีคณะกรรมการร่วม ๒ คณะ คือ คณะหนึ่งสำหรับกำหนดเขตแดน และอีกคณะเกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม การเจรจานั้นจนมาถึงเวลานี้ ไม่ว่ากับรัฐบาลไหนก็ตาม ยังไม่มีความเห็นชอบอะไรทั้งสิ้น ในนั้นมีการแบ่งส่วนออกเป็น ๓ โซน ตรงกลางแบ่ง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ไทยกว่า ตอนแรกแบ่ง ๑๐-๙๐ ต่อมาเอา ๒๐-๘๐ ส่วนพื้นที่ข้างกัมพูชา ๘๐-๒๐ ส่วนกัมพูชาเสนอกลับไปว่าให้แบ่งเป็นบล็อคๆ แล้วจับฉลากเลือก

ฮุน เซน กล่าวว่า "สิ่งที่เราต้องการยืนยันในที่นี้คือ ไม่ว่าจะมีการเจรจาเปิดเผยหรือเจรจาลับ แต่การเจรจาทั้งหมดยังไม่เกิดเป็นผลแต่อย่างใด แล้วก็ไม่สามารถมีเรื่องผลประโยชน์ซ่อนเร้นอย่างหนึ่งอย่างใด อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกขึ้นกล่าวหาได้" แล้วต่อว่า "ผมต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ฝ่ายไทยได้ทราบ ผู้ใดเปิดการเจรจาลับ?" ฮุน เซน กล่าวอีกว่า "ในยุคของทักษิณ การเจรจาก็ทำอย่างเปิดเผย ส่วนสมัคร สุนทรเวช มากรุงพนมเปญก็พูดกับผมเปิดเผยในการเจรจา หากแต่ต่างจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เขาว่าเป็นรัฐบาลโปร่งใส ผมไม่ได้เตรียมตัวหารือกับสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบฝ่ายความมั่นคงของไทย และรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงกลาโหม ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่อย่างใด"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวย้อนความจำไปถึงสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า "นายสุเทพมากัมพูชาสามครั้ง เขาคงลืมไป ครั้งแรกในเดือนเมษา ตอนนั้นมาไกล่เกลี่ยเพื่อรับรองให้ผมไปพัทยาร่วมการประชุมอาเซียน หลังจากมีเรื่องในสภาไทยที่กษิต ภิรมย์ เรียกผมว่าเป็นนักเลง ต่อมาก็มีทำหนังสือขอโทษ ภายหลังนายสุเทพก็มากัมพูชาอีกพร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหม แล้วก็ได้มีการหารือเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องน้ำมันเลย วันที่ ๒๗ มิถุนายน ภริยาผมทำอาหารเลี้ยงส่วนตัวคือทำแกงเลียง(3) ให้เขารับประทาน หากแต่เรื่องที่แปลกคือ นายสุเทพได้เอาเอกสารแผนที่เกี่ยวกับบล็อคน้ำมันในทะเลมาด้วย แล้วเขาได้แจ้งว่า อภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งเขาให้มาเจรจากับสมเด็จฯ ให้เสร็จภายในสมัยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ดังนั้น เขาไม่ต้องการเจรจากับรองนายกรัฐมนตรี ซก อาน เขาต้องการเป็นคู่เจรจากับ ฮุน เซน เท่านั้น" ฮุน เซน กล่าวต่อว่า "ผมได้แจ้งกลับไปว่า ผมมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้ ไม่สามารถเป็นคู่เจรจากับ ฯพณฯ ได้" พร้อมกล่าวต่อว่า "สุเทพต้องการยกตัวให้เสมอกับฮุน เซน เรื่องการเจรจาบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งการเจรจาเบื้องต้นได้เกิดขึ้นที่ตาเคมา(4-5) จ.กัณดาล(6) ที่ตอนนั้น เราได้ต้อนรับเขาด้วยแกงเลียง แล้วก็ขณะที่มาพบนั้นไม่มีประเด็นอื่นอีก การเจรจาลับเริ่มต้นจากตาเคมา ส่วนการเจรจาที่ฮ่องกงและที่คุนหมิง ประเทศจีน เป็นเรื่องถัดมา"

ฮุน เซน กล่าวพาดพิงถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า "อภิสิทธิ์ ถ้าไม่ชัดเจนก็อย่าพูด นำคนต่อต้าน ผมไม่ต้องการพูดถึง หรือว่าผมต้องสอนอภิสิทธิ์อีก เมื่อตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ผมก็สอนแล้วสอนอีก ตอนนี้ผมยังต้องสอนอีกหรือ ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์และสุเทพที่กรุงเทพฯ ว่า ใครคนไหนหอบเอาเอกสารมาที่บ้านผมที่ตาเคมา สุเทพรับรู้เรื่องนี้" และกล่าวต่อว่า "ใครคนไหนหอบเอาเอกสารไปที่ตาเคมา ผมไม่รับรู้ด้วย ดังนั้น ขอให้ฝ่ายไทยไปดูไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญไทย เรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับอย่างนั้น"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวอีกว่า "ตอนนี้ ตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ก็มาโจมตีว่าเนื่องจากรัฐบาลไทย (ยุคอภิสิทธิ์) ไม่สนองผลประโยชน์ของกัมพูชาทำให้ไม่ถูกกัน ผมก็จะแจ้งกลับไปที่อภิสิทธิ์ว่า ถ้ารัฐบาลก่อนไม่ถูกกันแล้ว ใครคนไหนที่ส่งคนมาเจรจาลับ ไอ้ที่ลับเป็นอะไร?" แล้วกล่าวต่อว่า "เขาต้องการรู้เรื่องลับนี้ไหม ถ้าต้องการรู้ว่าลับหรือไม่ลับ ต้องเริ่มต้นที่ตาเคมา จ.กัณดาล ฟังให้ชัด...ผู้นำเอกสารมา คือ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตีย บัญ ลี ยงพัต และคำปูน ซท(7) ได้เห็นเอกสารนี้"

นอกจากนี้ ฮุน เซน พูดถึงกำหนดการของ ทักษิณ ชินวัตร ว่า จะไปถึงกัมพูชาวันที่ ๑๖ กันยายน โดยจะเข้าร่วมการบรรยายเกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจเอเชียในวันที่ ๑๗ กันยายน ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ ส่วนวันที่ ๑๘ อาจจะร่วมเล่นกอล์ฟกับฮุน เซน ช่วงเช้าวันที่ ๑๙ ทักษิณจะร่วมบรรยายในการสัมมนาที่อาคารมิตรภาพกับวิทยาการอื่นๆ และในช่วงบ่าย จะเข้าร่วมในพิธีประดับเหรียญผู้ทรงเกียรติซึ่งพรรคประชาธิปไตยนิยมกลางสากลจัดขึ้น จากนั้นในวันที่ ๒๐ กันยายน ทักษิณจะเดินทางไปยังจังหวัดเสียมราฐ ส่วนการเตะฟุตบอลกระชับมิตรนั้น ฮุน เซน เปิดเผยว่าทีมของฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มฝึกซ้อมมาตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน แล้ว